วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ศิลปะของภาพ : วันวารราวรถถังสถาพร

ศิลปะของภาพ : วันวารราวรถถังสถาพร

อรรคพล สาตุ้ม



ข้อความอธิบายภาพ: ขบวนพันธมิตรกำลังเตรียมเคลื่อนไหวจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ที่มา: อรรคพล สาตุ้ม


ข้อความอธิบายภาพ: กองทัพพร้อมรถถังในกรุงเทพฯ แน่นอนภาพต่อไปจะเป็นภาพในเชียงใหม่บ้านของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร
ที่มา: ประชาไท ‘โอรสสวรรค์’ กับ พวกเราชาว ‘กบ’




ข้อความอธิบายภาพ:ผู้เขียนยืนอยู่ใกล้รถสายพานลำเลียงพล หน้าเทศบาลนครเชียงใหม่ใกล้สถานทูตอเมริกัน เจดีย์กิ่ว และตรงข้ามแม่น้ำปิง “มิมีเสียงดัง ฤาปรารถนาดังแบบใด” ระหว่างออกถ่ายภาพเพื่อทำข่าวลงหนังสือพิมพ์นั้น ข้าพเจ้าพบเจอรุ่นพี่ คนรู้จักและไม่รู้จัก คนขอถ่ายรูปกับทหาร เด็ก ผู้ใหญ่ และคนญี่ปุ่นให้ข้าพเจ้าถ่ายรูปให้โดยสองคนทำท่าอ้าปากถือหนังสือพิมพ์ภาษา อังกฤษยืนชูไว้ห่างรถดังกล่าว และข้าพเจ้าคงไม่ยืนเป็นนายแบบสำหรับถ่ายรูปทำท่าเข้าไปอ้าปากจ่อปืนเล่นๆ
ที่มา: วิทยากร บุญเรือง

ทำไมต้องวันวารราวรถถังสถาพร?
คำตอบ ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์แห่งความทรงจำ หรือในวันวาร และวันวานจากอดีตของวันสถาปนาชื่อของประเทศไทย ที่มีการกล่าวถึงจากชื่อสยามเป็นไทย และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
อนึ่ง ช่วง 2475 เปลี่ยนแปลงการปกครอง วันวาน จนกระทั่งปัจจุบันเหมือนเรากลับเห็นรถถัง อีกครั้งที่เคยอ่านเรื่องราวในหนังสือแบบเรียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ กลายเป็นความคุ้นชินหรือไม่ กรณีรถถัง เป็นวัตถุย่อมเปลี่ยนแปลงตามคนซ่อม หรือมีคนสร้างรูปแบบปรับปรุงตัวรถถังขึ้นมาใหม่ได้ แต่ว่าวัตถุย่อมมีวันเสื่อมสลายตามกาลเวลา และความคิดของคนย่อมปฏิสัมพันธ์กับวัตถุ คือ รถถังเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา และคนได้สร้างความหมายต่อรถถังด้วยเช่นกัน ในขณะที่รถถัง ทหาร กับสถานการณ์ครั้งนี้เป็นมิตรเหมือนจะถาวรของประชาชน เนื่องจากความทรงจำทางประวัติศาสตร์อันหลงลืมได้ง่าย และความทรงจำก็บิดเบือนได้ง่าย จึงกลายเป็นว่ารถถังเป็นสิ่งที่ถูกสร้างความหมายให้แก่เราได้ผ่านความคิดไป ยังรุ่นลูก รุ่นหลานต่อไป และรถถังก็สถาพร มีความหมายว่า ยืนยง กับเราทางความคิดตลอดเวลา และตอกย้ำสม่ำเสมอ จริงหรือไม่ ผู้เขียนครุ่นคิดว่า เราลืมกับจำ สลับกันไป-มา และไม่ต้องถามว่าอะไรคือประวัติศาสตร์แห่งความทรงจำในวันนี้ เราเลือกที่จะจำอีกครั้งด้วยความประทับใจ และรูปภาพ ที่บันทึกความทรงจำของเราเอาไว้สนุกสนานได้ แต่ว่าการมีมุมมองอย่างเดียวที่เห็นว่าทหารการกระทำครั้งนี้ไม่มีพลังความ รุนแรงอะไรเลย มันไม่ใช่เพียงเท่านั้น สมมุติว่า เมื่อปากกระบอกปืนกลลั่น คราใด ย่อมต้องมีเลือด โศกนาฏกรรม และมีคนใช้ปากกาบรรจงสร้างสรรค์ บันทึก เขียนประวัติศาสตร์ และเราคิดว่านี้เป็นจุดเปลี่ยนของการเขียนเรื่องรถถัง ทหาร ซึ่งไม่มีโศกนาฏกรรมแล้วหรือไม่ เราต้องถามตัวเอง



ข้อความอธิบายภาพ : ประเทศไทยรวมมาเนื้อชาติเชื้อไทย….โปรดนึกถึงเพลงชาติขับกล่อมบรรเลงราวธง ไตรรงค์โบกไสว และรูปอีกมุมมองหนึ่งจะเห็นรถอะไรเอ่ยสำหรับการก่อสร้างอาคาร รวมทั้งโปรดสังเกตรายละเอียดอื่นๆ หากอยากอ่านสัญญะเพิ่มเติมชวนตีความตั้งคำถามให้ปวดหัวเล่นๆ
ที่มา:อรรคพล สาตุ้ม

อย่างไรก็ตาม เราเชื่อหรือไม่ว่าเชื้อแห่งความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ด้วยข้อจำกัดของมุมมองคนเรา มันได้ซ่อนอยู่นอกจากในแบบเรียนแล้ว รูปภาพของ ณ ช่วงเวลาขณะนี้ และเหตุที่สำคัญคือศิลปกรรมในอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยภาพปูนปั้นหลัก 6 ประการของคณะราษฎร หลักเอกราชและความสงบภายใน ประกอบด้วยทหารถือปืนและรถถัง เมื่ออนุสาวรีย์เป็นการเมืองเชิงสัญลักษณ์ รูปธรรมกับนามธรรม มีนัยยะแห่งความทรงจำกับเรา เหมือนวลีฉันคิดฉันจึงมีอยู่ ไม่เพียงเรื่องของประสบการณ์อันจับต้องได้เท่านั้น แต่มันมีเรื่องความจริงภายในตัวเอง ที่ต้องนิยามความหมายของการคิดต่อการมีอยู่ในชีวิตของเราเพื่อความยืนยง หรือยั่งยืน

กระนั้นประชาธิปไตยจะยั่งยืนได้รูปแบบใด ซึ่งจากรูปภาพข้างบนเราเห็นภาพผู้ชายคนหนึ่ง ใส่เสื้อขาว แม้ว่าจะใส่เสื้อขาวดูประหนึ่งผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องไม่เจือสีดำอันเป็นตัวแทน แห่งความชั่วร้าย(คู่ตรงข้ามกัน) และ สวมหมวกขาวก็ตาม ภายใต้ร่างกายที่ถูกบงการโดยอำนาจอันซ่อนเร้นยังคงต้องแอบซ่อนรักนัยยะความ เป็นทหาร แต่ความผูกพันลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ ฝังในใจ จากเครือข่ายของกองทัพ ที่มีตำแหน่งแห่งที่ตามจังหวัดใหญ่ และตั้งแต่งานวันเด็กแล้ว กองทัพในส่วนพื้นที่สำคัญต่างๆของจังหวัด ที่มีค่ายทหารได้ส่งเสริมให้ความรักชาติไทย และความเป็นไทย ความเป็นชายชาติทหาร น่ารักกลมกลืน ตื่นเต้น เมื่อมีการแสดงรถถัง เครื่องบิน ต่างๆ ซึ่งผู้เขียนเคยมีประสบการณ์ในงานวันเด็กมีรูปภาพตอนเป็นเด็กใส่เสื้อยืดขาว เทา กางเกงลายทหารกับนั่งทำท่ายิงปืนกลบนเฮลิคอปเตอร์ ดังกล่าวนั่นคือภาพแสดงแทนพลังของจินตนาการแสนยานุภาพ ผูกพันแนบแน่นกองทัพไทย กับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย แต่รัฐชาติได้ผนึกสำนึกความมั่นคงนี้ไว้ กลายร่างมาเป็นพรมแดนของตัวตนเราด้วย ถ้ามีวันเด็กเราจะรู้สึกได้ในพื้นที่ความทรงจำ และการโหยหาอดีตภาพประทับใจ เหมือนเพลงชาติในตอนเคารพธงชาติที่โรงเรียน สุดท้ายแล้ว ทุกคนดูเหมือนว่าจะมีสิทธิเท่าเทียมกันโดยภาพถ่ายที่ทุกคนเข้าไปใกล้ถ่ายรูป กับรถถัง ทหาร จากที่กล่าวมา แต่แน่นอนว่าไม่มีรูปภาพจากหนังสือพิมพ์ใด ซึ่งเป็นตัวแทนสถานการณ์ความเป็นจริงหรือจะเห็นว่าประชาชนได้ขึ้นไปนั่งยืน จับปืนบนรถถัง มีเพียงแค่ทหารถือปืนเท่านั้นดุจดั่งผู้มีอำนาจสถาพร…

-หมายเหตุ-โปรดดูรูปภาพเพิ่มเติมที่ เว็บเครือข่ายนักเขียนแห่งประเทศไทย
http://www.thaiwriternetwork.com/column.php?id=70&action=show
และบทความดังกล่าวเคยลงเผยแพร่ในประชาไท