วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

สิงคโปร์ทุกลมหายใจ

สิงคโปร์ทุกลมหายใจ

ผมมีโอกาสตามอ่านข่าวในวันที่ 10 กันยายน ที่ผ่านมานี้ องค์กรวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป หรือ CERN (เซิรน์) เดินเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ Large Haldron Collider (LHC) เพื่อค้นหาคำตอบ เรื่องจุดกำเนิดจักรวาล ซึ่งข่าวที่ผ่านมา เกี่ยวกับ เซิรน์ ทำทดลองเครื่องปล่อยอนุภาคโปรตอน ที่มีเครื่องทดลองอยู่ในอุโมงค์ระหว่างประเทศฝรั่งเศสและสวิสฯ แล้วอาจจะเกิดหลุมดำ มีประเด็นค้นพบอนุภาคพระเจ้า และวิธีการสร้างไทม์แมชชีนบ้าง บางอย่างในใจของผม ก็กำลังรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของโลก

มันคงเป็นช่วงเวลาหนึ่งของมนุษย์ทั่วๆไป ที่ไม่สามารถค้นพบการย้อนเวลาได้ หากมนุษย์ค้นพบ การย้อนเวลา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเครื่องไทม์แมชชีน เพื่อกลับไปดูอดีตเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งผ่านพ้นอย่างไม่มีวันกลับมาอีกครั้ง เราอาจจะตายได้ ถ้าเสี่ยงขึ้นเครื่องนั้นไป และย่อมมีคนเสี่ยงตายเพื่อค้นพบการพัฒนาโลก ไม่ว่าจะการทดลองสร้างเครื่องบิน รวมทั้งเทคโนโลยีการถ่ายภาพ เครื่องมือบันทึกความทรงจำของมนุษย์


เมื่อสมัยหนึ่ง เครื่องบินลำแรกของโลก มันก็ต้องผ่านการทดลอง และเรียนรู้เรื่องมนุษย์อยากจะบิน ตั้งแต่ความคิดของลีโอนาโด ดาวินซี พยายามสร้างปีกนกให้มนุษย์บินได้ จนกระทั่งสองพี่น้องตระกูลไรท์ ได้รับการจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ได้ว่า สร้างเครื่องบินลำแรกได้สำเร็จ นั้นเอง มนุษย์ก็มีการเปลี่ยนแปลงในการบันทึกภาพ จากภาพเขียนสู่การถ่ายภาพ จากในอดีต ที่คนเริ่มต้นหวาดกลัวว่า ถูกถ่ายภาพ จะถูกดูดวิญญาณไป

ในที่สุดแล้ว ความเปลี่ยนแปลงในยอมรับเปลี่ยนความเชื่อของการถ่ายภาพ การสร้างเครื่องบิน ซึ่งถ้าชีวิตมีความเสี่ยง กล้า บ้าบิ่น เพื่อสร้างสรรค์อย่างท้าทายขีดจำกัดของมนุษย์ และก็พร้อมจะพิสูจน์สิ่งนั้น ผมก็มีความฝันอยากจะบินได้สักครั้ง มีปีกเหมือนกับนก โบยบินสู่อิสระภาพ แต่ว่าการเดินทางครั้งนี้ ผมมาด้วยเทคโนโลยีของมนุษยชาติ ซึ่งผมนั่งเครื่องบิน แอร์เอชีย ราคาไม่แพงมาก โดยผมอยากจะกล้าเดินทางไปสิงคโปร์ ก็ค้นหาแหล่งทุนสำหรับการเดินทาง ก็ได้รับทุนสนับสนุนของมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ในการไปจากแผ่นดินแม่ คือ ประเทศไทย มาเปิดหูเปิดตาในประเทศสิงคโปร์ ในยุคที่ตอนนั้นประเทศไทย มีข่าวยังเป็นกระแสโด่งดังเป็นประเด็นปัญหากับสิงคโปร์ กรณีอดีตนายกทักษิณ กับกลุ่มเทมาเส็กฯ

กระนั้น ผมเดินทางอยู่ไม่นาน เนื่องจากเงื่อนไขของทุน มีจำกัดระยะเวลา สามวันเท่านั้น ซึ่งความเป็นจริง ผมต้องมาที่สิงคโปร์ เพื่อนำเสนอผลงานวิชาการ เป็นหลัก ไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวที่ไหนมาก นอกจากผมเดินวนเวียนในมหาวิทยาลัย ที่มีศักยภาพในระดับสูงของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงทำให้ผมรู้สึกว่ามีโอกาสร่วมรับฟังเวทีเสวนาวิชาการจากประเทศต่างๆ ช่วยให้ผมเปิดตัวเองสู่โลกกว้างอย่างสำคัญมาก และการมีอยู่ของเวลา ในการได้ออกไปเดินเล่นบนบาทวิถี ณ. สิงคโปร์ เพราะ เมื่อระลึกถึงการเดินทางสองปีก่อนผ่านไป มันเป็นโชคดีของผมมาก ที่ยังมีชีวิตอยู่หลังจากที่ เดือนกันยายน ก่อนวันที่ 9/9/2549 นั้น ตัวของผม มีอายุครบ 9,999วัน โดยผมอ้างอิงการคำนวณ จากโปรแกรมหมอดูในคอมพิวเตอร์ ครับผม

สัตว์สัญลักษณ์ของสิงคโปร์ อะไรเอ่ย ?...
การเดินทาง แบบบังเอิญๆ หรือว่า ชีวิตของคนเรา ก็หลีกไม่พ้นกรอบของเวลา สถานที่ และชะตาชีวิต ซึ่งเป็นกรอบแห่งการเดินทาง ทำให้ผมเดินสำรวจสิงคโปร์ ในมหาวิทยาลัยออกมาแล้ว พบเจอสิ่งน่าสนใจก็จังหวะของการกดชัตเตอร์เพื่อถ่ายภาพ รวมทั้งงานนิทรรศการภาพถ่าย แล้ว คนอ่านคงเริ่มเข้าใจแล้วว่า การเดินทางอันไร้จุดหมาย เพื่อการท่องเที่ยวแบบทั่วๆไป จริงๆ เพราะว่าไม่นำพาชื่นชมสถานที่ท่องเที่ยวมากมายนัก และบ่งบอกถึง ที่กินอาหารอร่อยๆ กลับต้องมาอ่านเรื่องการเดินทางของผม ซึ่งเดินทางไปเองเกือบ A lone แต่ไม่เหงา บางครั้งก็ปัดผม จับเส้นผม ทำหัวและผมยุ่งๆเหยิงๆ ไม่ให้เส้นผมบังสายตามากเกินไป เพราะไม่เช่นนั้น อาจจะไม่ได้พบภาพประทับใจเลย

หากว่าการเดินทางแบบบังเอิญ จะทำให้ตื่นเต้นบ้าง ก็คงเป็นเหมือนกับว่า ผมนึกถึงระหว่างทาง มีชีวิตอยู่ ก็คล้ายเพลง ทุกวินาที ให้อารมณ์ ที่มีความสำคัญกับเวลา เพราะว่า เพลง ทุกวินาที ของเจมส์... เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์ อัลบั้ม ไซเรนเลิฟ โดยมีคุณค่าสำหรับ Somebody และผมชอบเพลงนี้มาก ในช่วงวัยรุ่น ฟังเพลงนี้ และรู้สึกถึงว่า ไม่มีวันหวนคืนกลับมา เอาเป็นว่า ผมมักไม่อยากหมกมุ่นกับอดีตมากเกินไป ก็บางครั้งดูรูปถ่ายเก่าเพื่อคิดถึงอดีต และพยายามคิดถึงอนาคต เพราะไม่สามารถมองเห็นอนาคตอันแน่นอน แต่ทว่า เมื่อไม่กี่วันก่อน ก็เป็นอีกครั้ง ที่มีเพื่อนของผม โทรมาหาผม ยังคงชวนผมไปทำงานที่มาเก๊า ก็ทำให้ผมวางแผนไว้ในใจเป็นเรื่องของอนาคต ครั้งที่สองถึงสาม ว่าจะไปมาเก๊า แวะเดินถนนคู่รัก แม้ว่าจะหาสาวถูกใจ เดินควงแขน จูงมือยังไม่ได้ก็ตาม และคิดจะเดินทางไปฮ่องกง ตามรอยสถานที่บางแห่ง ที่มีปรากฏในภาพยนตร์ สุดเหงากับความรัก Chungking Express (วันที่ 1 พฤษภาคม 1994 เธออวยพรวันเกิดให้ผม เหตุนี้เองที่ผมจะจดเธอไว้ในความทรงจำ หากจะเก็บมันไว้ในกระป๋องผมไม่อยากให้มันมีวันหมดอายุ แต่ถ้าต้องระบุก็ขอให้ความทรงจำที่ผมมีต่อเธอมีอายุ 10,000 ปี)…น่าไปเรียนรู้วัฒนธรรมเอเชียแบบจีน ผสมตะวันตก

เรื่องที่ผม ยกตัวอย่างภาพยนตร์ เพราะมองเห็น “ภาพ” เกี่ยวกับ Space and Time มาโชว์บรรยากาศแห่งการโหยหาอดีต เหมือนที่ ผมดูภาพยนตร์ หรือ หนังเรื่องเถียนมีมี่ 3650 วัน รักเธอคนเดียว บางฉากสถานที่ฮ่องกงถึงอเมริกา อยู่ในช่วงเวลานั้น (และไม่นานมานี้ ก็ดูหนัง Perhaps Love ของผู้กำกับคนเดียวกันที่ผ่านมา) และนึกถึง In The Mood for Love บางฉากสถานที่ฮ่องกง-สิงค์โปร์-กัมพูชา (Wong Kar Wai คือ ผู้กำกับคนเดียวกัน ซึ่งกำกับเรื่อง Chungking Express และวลีเด็ดในหนังหลายเรื่องของเขา เช่น นกไร้ขา )และอารมณ์แปลกๆ ในบางครั้งนำมาสู่การเขียน ทำให้ผมกลับมาสนทนากับตัวเอง ผ่านงานเขียนเก่าๆในความทรงจำ หลังจากเขียนเรื่องราวว่า ไว้อาลัยให้รุ่นพี่ ซึ่งเสียชีวิตไป เพราะอุบัติเหตุรถชนคน… จึงเขียนกลั่นประสบการณ์การเดินทางในสิงคโปร์ ผ่านภาพถ่ายในทุกวินาที ที่มีลมหายใจไปกับการเดินทาง ทั้งที่มีความปวดร้าว กับ ปวดหลังตามร่างกาย เหนื่อยล้า และเสียกำลังใจ บ้าง แต่ผมก็เคยเขียนๆบันทึกการเดินทางเพื่อให้กำลังใจตัวเอง มันก็เป็นพลังใจกลับมาหาตัวเอง จ้า



ผมเหมือนกับจะนำเรื่องเล่าเที่ยวไปยังไงก็ต้องกลับ และไม่ได้นำท่องเที่ยวที่แปลกประหลาดนัก ใครก็ไปกันได้ และพอกลับมาจากการเดินทาง นึกถึงช่วงแห่งความสุข ที่เราใคร่ครวญ กับวันเวลา แม้ผมจะปวดเมื่อย นั่งพิมพ์งาน บ้าง กับอ่อนล้า บ้าง แต่หยิบภาพเก่าๆ ออกมา ก็มีคุณค่า-ตัวเอง ได้ออกข้ามน้ำ ข้ามทะเลไป ก็คงไม่ให้เรื่องออกนอกทะเลไปไกลกว่าภาพถ่ายหรอก แล้วคราวหน้ามาลองฟังเรื่องบันทึกเวลากับภาพถ่าย และเรียนรู้อดีตเพื่อจะไปสู่อนาคต


ตอนที่ 2
เมื่อผมออกเดินทาง ในแต่ละก้าวของทางเดิน ซึ่งการบันทึกภาพถ่ายโดยถ่ายสถานที่ต่างๆ ทำให้เรามองเห็นโลกผ่านกล้องถ่ายรูป บันทึกภาพความเป็นจริงของสิงคโปร์ และประมาณสองปีก่อน ผมเจอลุงบุญเสริม สาตราภัย สุดยอดแห่งเจ้าของภาพถ่ายเก่าในเชียงใหม่ เขาสะสมรูปภาพเก่า ทั้งภาพถ่ายอดีต การนำรัฐธรรมนูญฉบับแรกขึ้นช้าง มาเดินโชว์ในจังหวัดเชียงใหม่ ให้คนได้ชื่นชมรู้จักรัฐธรรมนูญ และยังมีภาพที่ลุงบุญเสริม ถ่ายเก็บไว้เอง อีกมากมาย ซึ่งผมก็มีโอกาสนทนา พูดถึงเรื่องสัญชาติญาณ ความรู้สึก ที่ได้อารมณ์ และจังหวะของการถ่ายภาพในฐานะนักถ่ายรูป

ผมประทับใจ จึงมีภาพสองภาพนำเสนอไปแล้ว ก็อยากนำเสนอจังหวะ ของการถ่ายภาพแล้ว ก็ต้องการบอกว่า คนบางคนรักหลงใหลการถ่ายภาพ และความรักเป็นเรื่องของจังหวะเวลา ไร้ประโยชน์หากเราเจอรักแท้ช้าหรือเร็วเกินไป เป็นคำพูดของตัวละคร ที่ปรากฏในเรื่อง 2046 โดย Wong Kar Wai (ผู้กำกับคนนี้อีกแล้ว ) สำหรับผมเรื่องการบันทึกภาพไม่ชัดเจน ดูเบลอๆ ของสองภาพนี้ คือจุดเริ่มต้น ของเรื่องราวทั้งหมดของการเดินทางเพื่อบันทึกภาพที่นั่นก็ได้



โดยผมนึกขึ้นมาได้ ไม่กี่สัปดาห์ก่อนพร้อมกับการสนทนากับคนในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ว่า ภาพถ่ายก็บันทึกเวลา และในตัวมันเองภาพถ่ายบันทึกวัตถุ เช่น ถ่ายภาพรถยนต์กำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ก็จะเห็นว่า มีเส้นและแสง-เงา ที่เกิดขึ้นจากการถ่ายภาพ ตามหลักฟิสิกส์นั้น เมื่อเห็นภาพถ่ายย่อมบันทึกเวลาไปในตัวมันเอง และการพัฒนากล้องถ่ายรูป มันมาพร้อมหลักการวิทยาศาสตร์ ให้ตัวกล้อง มีที่วัดแสง ต่างๆ จนกระทั่งการทำงานแบบกล้องดิจิตอล เหมือนการบันทึกภาพ สะท้อนข้อเท็จจริง ตามที่กระจกส่องหน้าของเรา

กระนั้น ผมนำเสนอภาพถ่าย สองภาพนั้น เพื่อบอกถึงการเดินทาง อย่างที่ มันควรจะเป็นไปได้ของชีวิต ที่มีการเดินทางของคนเรา และถ่ายภาพบันทึกความจริงไว้ ขณะที่เดินทางเพื่อถ่ายภาพ ผมใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด แบบรีบเร่ง รวดเร็ว แต่ว่าผมถ่ายเวลาอาจจะได้ ส่วนเสียงเพลงไม่มีถ่ายภาพ หรือถ่ายภาพนักดนตรีเป็นตัวแทน ผมแค่ฟังเสียงเพลงในใจ และลมหายใจของผม ก็ลองมา สัมผัส ตามอารมณ์ร่วมในสิงคโปร์ ผ่านมุมมองของกล้องถ่ายภาพบันทึกอดีตกับผม มาร่วมขอให้ช่วงเวลาแห่งการหวนคืนในความทรงจำอันเบาหวิว ก่อนมันจะเลือนหาย…
…ถนนตึกรามทางเท้าในสิงค์โปร์….
ถ้าผลงานภาพ จะหายไป ทำให้เรา เกิดนึกจินตนาการไปก่อนบางอย่างจะหายไปว่า ภาพถ่ายเหมือนกระจกเงาสะท้อน/เงาในกระจก และตัวเรามีบันทึกภาพถ่ายอาจจะสร้างจินตนาการภาพต่อตัวเรา และสถานที่กลายเป็นเรื่องเล่าใหม่ๆ เพิ่มเติม นอกจากภาพที่ปรากฏเห็นแล้ว บันทึกสถานที่ และตัวเรา จะเพ่งภาพ กระจกเงา ซึ่งภาพถ่ายหลายต่อหลายครั้ง มีการเถียงกัน ในวงเหล้าเพื่อนฝูงกัน เรื่องความรู้ ทางศิลปะบ้าง ฯลฯ

แต่ สิ่งสำคัญคงต้องเรียกได้ว่า ความรู้ และการแสวงหาความรู้ มีหลายรูปแบบ ดังที่ลุงบุญเสริม ช่างภาพ นำเสนอจากสัญชาตญาณ นักปรัชญา ชื่อว่าแบร์กซอง ก็เคยเสนอว่า นี้เป็นการแสวงหาความรู้ วิธีหนึ่งของมนุษย์ โดยการใช้สัญชาตญาณ หาความรู้ และการถ่ายภาพ สะท้อนวิธีการใช้ความรู้มาสร้างเครื่องบันทึกภาพ ทั้งที่ความจำกัดของเครื่องมือ และอุปกรณ์ในการสะท้อนภาพตัวเอง จากกระจก ช่วยให้คนมาสร้างวาดรูปบันทึกภาพจิตรกรรมตัวเองได้เหมือนจริงมาก เช่น ในผลงานจิตรกรรมยุคสมัยต้นรัตนโกสินทร์

เมื่อผนวกกับความแพร่หลายของ “กระจกเงา” จากโลกตะวันตกในช่วงดังกล่าว ทำให้ความคิดเกี่ยวกับ ”ตัวตน” และความรับรู้เกี่ยวกับ “ความจริง” เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ชนิดที่เทียบเคียงได้กับการปรากฏขึ้นของคอมพิวเตอร์ในสังคมสมัยใหม่ทีเดียวโดยเฉพาะว่าด้วย “ภาพสะท้อนของกระจก” และ “การมอง” นี้ ในจิตรกรรมฝาผนังและการประดับตกแต่งภายในพระอุโบสถ วัดราชโอรสาราม อันถือได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของศิลปะแบบ “พระราชนิยม” ในรัชกาลที่ 3 ที่มีวัฒนธรรมแบบตะวันตก และวัฒนธรรมของจีน ศิลปกรรมรุ่งเรืองผ่านทางการค้ายุคเรือสำเภา เป็นต้น
….ภาพแทนคำพูดนับพันคำ…..
จนกระทั่ง ต่อมาลักษณะวัฒนธรรมความเป็นจีน ทางศิลปะลดน้อยลง ในสมัยรัชกาลที่ 4 จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ยกตัวอย่างจิตรกรรม และประดิษฐกรรม สร้างสรรค์ของมนุษย์ เปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่าง โดยภาพจิตรกรรมฝาผนัง ยุครัชกาลที่ 5 ก็มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง วัดโพธินิมิตรสถิตมหาสีมาราม ซึ่งมีภาพอาคารกุฎิสงฆ์วาดอย่างตึกแบบสิงคโปร์ ก็มีให้เห็นอยู่ในพัฒนาการภาพเขียน จิตรกรรมฝาผนัง ถ้าคนได้รับอิทธิพลภาพถ่าย นำมาสร้างสรรค์เป็นรูปจิตรกรรมในวัด

เมื่อใบหน้าเราสะท้อนในกระจกเงา มองเห็นตัวตน การพยายามเรียนรู้ความเป็นมารากเหง้าของเรา เช่น ตัวตนของผม มีเชื้อจีน ก็มีอากง เสียชีวิตไปแล้ว แต่ก็รับประสบการณ์ รำลึกความหลังไม่ลืม โดยการไปเคารพฮวงซุ้ย(สุสาน) ขณะเดียวกันผมก็ได้ข่าวอาหม่าของผม อายุเกือบเก้าสิบปี กำลังป่วย ซึ่งทำให้ความรู้สึก ระหว่างที่เขียนว่า มีความสำคัญต่อการออกเดินทางเพื่อไปเยี่ยมเยือนอาหม่า…และความเป็นมาของการเดินทาง แต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ไม่ใช่แค่เพียงเที่ยวดูสถานที่ก็ได้ ภาพถ่ายเป็นสัญลักษณ์ของคน ชวนให้ตีความได้ และช่วยสะท้อนเหมือนกระจก ให้เห็นธรรมชาติ มากกว่าเรื่องเทคนิค การถ่ายภาพ ที่มีทฤษฏีมากมาย

แต่ว่าสิ่งที่เรา จะเรียนรู้ ที่ห้องอัด ห้องล้างรูป แล้ว นอกจากนั้น สิ่งที่สำคัญ คือใจ นั่นเองบางที มนุษย์ มักสนใจ อะไรกับการถ่ายภาพ ตามกรอบมาตรฐาน หนึ่งๆ มักลืมอีกกรอบหนึ่งๆ ซึ่งอาจจะซ่อนความงามอีกแบบหนึ่ง ทั้งที่เราอาจจะมองไม่เห็น เพราะว่ามันเป็นความงาม ที่มีความเป็นส่วนตัวของแต่ละคน และเรื่องความงามเป็นคนละอย่าง โดยมีความรู้ การอธิบายความงาม คนละชนิด คนละกรอบกัน....

อนึ่ง บางครั้งการค้นหา ความทรงจำ หรือกลิ่น ในประสบการณ์ ดังที่ลุงบุญเสริม เล่าให้ฟัง เขาถ่ายภาพรูปนั้น แต่เขาจำกลิ่นได้ด้วย เมื่อเราเดินทางไปไหน สิ่งที่ไม่ควรแบกไป ก็คือ สิ่งที่เราคิดว่า เป็นเครื่องมือ กล้องดีเลิศ ประเสริฐศรี ด้วยเทคนิค (ใจ) ของเราเอง สำคัญกว่าอื่นใด แม้ว่ารูปภาพจะยัง ไม่พัฒนาไปบันทึกกลิ่น....แต่ว่าภาพได้บันทึกความทรงจำให้เราทบทวนไม่ให้หลงลืมจากความชรา และภาพถ่ายยังช่วยให้เราโหยหาอดีตได้ เพราะว่าภาพถ่าย บันทึกแสง...สี...ธรรมชาติตามความเป็นจริงไว้เรียบร้อย ดังนั้น ภาพแทนคำเป็นร้อยเป็นพันคำ แล้วผมจะพูดถึงภาพอื่นๆ ต่อไป….


























ตอน ที่3(จบ)

วันนี้ ผมเริ่มงานเขียนด้วยความรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ ไม่ใช่ปัญหาอากาศหนาวที่นี่ ในจังหวัดเชียงใหม่ เท่านั้น แต่ว่าผมเพิ่งเดินทางกลับมาจากบ้าน เพราะว่า ผมไปร่วมงานศพ และพิธีขนโลงศพของอาหม่าลงฮวงซุ้ย(สุสาน หรือบ้าน เป็นตัวแทนอนุสรณ์สถาน) อยู่เคียงคู่กับอากงของผม และเนื่องจากผม สัมผัสความรู้สึกความเป็นเอเชีย ผ่านภาพยนตร์ ที่มีภาพเคลื่อนไหว คือดูหนังมากเกินไป จนปวดดวงตา และเริ่มเขียน ระลึกถึงความทรงจำครั้งหลังที่สิงคโปร์ ผ่านมุมมองของภาพยนตร์ มีชื่อว่า Christmas in August เป็นภาพยนตร์เกาหลีใต้ ที่มีความน่าสนใจเกี่ยวกับชีวิต

ใช่ครับ จากชื่อของภาพยนตร์ คริสต์มาส ในสิงหาคม อ่านชื่อเรื่อง ซึ่งแปลตรงๆได้ใจความง่ายๆ แล้วคงแปลกใจ เพราะว่า ชื่อเรื่องชวนปริศนาแห่งการตีความว่า การดำเนินเรื่องเกี่ยวกับในช่วงสิงหาคม ไม่ใช่ช่วงเดือนสำหรับคริสต์มาสตามปกติ ซึ่งหากได้ดูภาพยนตร์กันแล้ว ภาพสื่อถึงความหมายของภาพยนตร์นำเสนอ เรื่องเกี่ยวข้องฤดูกาลในช่วงความหนาวเย็น และทุกลมหายใจของคน สะท้อนคุณค่าของชีวิต ที่ยังอยู่ หรือตายไปแล้ว โดยสำคัญ เท่ากับ การที่ว่า คุณอยู่เพื่อใคร และตายเพื่อใคร ซึ่งพระเอกของภาพยนตร์ แสดงออกความเป็นลูกกตัญญู และถ่ายทอดความรักของเขาออกมาเป็นรูปภาพตัวเองก่อนตาย ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และต่อมานางเอก มาค้นพบภาพถ่ายของพระเอกวางอยู่หน้าร้านถ่ายรูป และคำถามของหนังได้ตั้งย้อนไป ย้อนมา เสมอๆ ถ้าคุณพร้อมที่จะอยู่มีชีวิตแบบตายทั้งเป็น โดยไม่ได้ทำเพื่อใครเลยได้หรือไม่...

ในภาพยนตร์นี้ พระเอกเป็นช่างภาพ เจ้าของร้านถ่ายรูปแห่งหนึ่งในเกาหลีใต้ ท่ามกลางบรรยากาศของเวลาและฤดูกาล ตามธรรมชาติ... ผมอยากเขียนเป็นภาษาพูดบรรยายว่า เอางี้หละกัน ง่ายๆ หากคุณ นึกถึง ใคร ที่มีนัยยะ ช่างภาพถ่ายภาพเก่า และเก็บภาพเก่า ผมก็นึกถึงลุงบุญเสริม สาตราภัย ขึ้นมาทันที คนถ่ายภาพเก่าของเชียงใหม่อีกจนได้ เหมือนกับตอนที่แล้ว จะหาว่าผมจะเล่าซ้ำซากๆไม่ได้ น่ะครับ มันมีความสำคัญมาก เพราะว่า ภาพเก่า คือการกลับสู่อดีตทางความรู้สึกของผม ต่อการเดินทางในสิงคโปร์

โดยจินตนาการบางอย่างเกี่ยวกับอดีต ก็ดูรูปเก่าของวัยรุ่น ยุคภาพสี แตกต่างจากยุคถ่ายภาพขาว-ดำ และระบบดิจิตอล ใช้คอมพิวเตอร์ ช่วยปรับแต่งภาพได้ด้วย สะท้อนเห็นถึงความแตกต่างรูปถ่ายกับจิตรกรรม ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาขึ้นมา แล้วภาพถ่าย ก็เป็นต้นแบบแก่การวาดภาพจิตรกรรม ตามวัดทางพระพุทธศาสนาในประเทศไทย และความหมายของการสร้างงานศิลปะ ก็มีการถ่ายภาพ ที่มีการแสดงออก ลักษณะความเป็นมนุษย์ ตั้งแต่เกิด จนตาย ในสถานที่ต่างๆ เช่น วัด และสุสาน อาคารสมัยใหม่ ต่างๆ ซึ่งเทคโนโลยี ก็ช่วยเก็บรักษาภาพถ่าย และนำมาแสดงผ่านทางอินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ให้เราได้นำออกมาโชว์ให้ปรากฏแก่สายตาของผู้ชมภาพ

เมื่อเราจะตายจากโลกนี้ไป ไม่สามารถเก็บอะไรไว้ได้ คุณอาจจะหลงเหลือเพียงภาพถ่ายให้คนอื่นดูภาพนั้น และ เราจะคิดถึงคนที่ตาย จะเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ต่อไป โดยไม่ลืมว่าจะเตรียมตัวตายอย่างมีสติ ดังนั้น บางคนอาจจะถ่ายรูปตัวเองไว้ก่อนตาย สำหรับประดับงานศพ เหมือนกับในภาพยนตร์ดังกล่าว เพื่อบันทึกความทรงจำ… ทั้งที่เทคโนโลยีเราพัฒนาไปมาก แต่ว่าการสื่อสารก็ยังเข้าใจได้อยาก เรามีเครื่องมือ โทรศัพท์มือถือ ซึ่งประกอบด้วยกล้องในตัวมือถือเอง มันเป็นเครื่องมือเหมือนกับกระจก ช่วยสื่อภาพ และความคิดผ่านคำพูด แต่ว่า เวลาแห่งการสื่อสารไม่ง่ายดายเลย เพราะว่า ความคิดของเด็กกับผู้ใหญ่ ก็แตกต่างกัน ทั้งเรื่องความคิดทางเวลา เด็กกับผู้ใหญ่ เวลาของผู้ใหญ่ผ่านไปเร็วกว่าของเด็ก หรือว่า เวลาของเด็กช้ามาก

ในเวลาการเดินทางของผมเดินเล่นๆ ไปเรื่อยๆ ระหว่างการเดินทางในสิงคโปร์ขึ้นอยู่ กับการประจวบเหมาะของจังหวะแห่งภาพ ที่ผมอยากจะนำเสนอ แตกต่างจากที่นิทรรศการของโรงละคร ESPLANADE PRESENTS VISUAL ARTS "UNFHOTOGRAPHABLE" (เขาเขียนตัวใหญ่ๆอย่างนี้แหละๆ ลองแปลเล่นๆ เอาเอง) ที่ผมเขียนถึงในตอนที่แล้ว หัวใจแห่งการเดินทาง ภายใต้ความเป็นคนนอก ต่อนิทรรศการนี้ ก็พลังของชีวิตได้ขับเคลื่อนให้ ผมไปที่นั่น หลังจากที่ผมพบผ่านวันที่ 6/6/2006 อันเลวร้าย ซึ่งช่วงชีวิตกับภาพชีวิตของผม กับนิทรรศการภาพบรรจบกันที่นั่น ภาพแต่ละภาพในนิทรรศการต่างก็มีความหมาย และเทคนิคการถ่ายภาพของทุกคน ก็มีความลับ หรือแทนความชั่วร้าย-ดีงาม เหมือนกับสีสันภาพถ่ายขาว(ดี)-ดำ(ชั่ว)...

บางครั้งสิ่งสำคัญ การถ่ายภาพของผม มันไม่ใช่แค่เครื่องมือ ที่มีความทันสมัย กล้องถ่ายภาพของผม ไม่อาจบันทึกเสียงได้ แต่ว่าหากมันได้ถ่ายภาพวงดนตรีแล้ว ผมก็ถือว่ามีเสียงบันทึกอยู่ในนั้น และขณะผมอยู่ในสิงคโปร์ก็ไม่มีกล้องถ่ายภาพมือถือ บันทึกเสียง คลิปวิดีโอใช้ได้เลย วันแรกก่อนขึ้นเครื่องบินออกจากประเทศไทย ผมยังเจอคนไทย และพูดคุยกัน บางคนไม่เคยข้ามพรมแดนออกนอกประเทศ และจะเข้ามาทำงานสิงคโปร์ก็ถามพูดคุยกับผม ส่วนผมก็เจอสาวๆ คนไทยจะไปเที่ยวสิงคโปร์ ระหว่างจะขึ้นเครื่องบิน เราสื่อสารด้วยภาษาเดียวกัน ไม่เกิดอาการ Lost In Translation ระหว่างคนไทยด้วยกัน และน่าเสียดาย ผมไม่ได้บันทึกภาพ นักเดินทางเหล่านี้ไว้สื่อให้คนอ่านเลย

จากภาพถ่าย ซึ่งผมไม่ได้ถ่ายภาพไว้ ด้วยจังหวะไม่เอื้ออำนวย มันมีคุณค่าอะไรมากกว่ารูปภาพ ที่มีการหยิบจับขึ้นมาดูรูปนั้น หากเราจะใช้ภาพถ่ายเพื่อตามหาคนในรูปภาพ เพื่อการค้นพบกัน และเมื่อผมหลงทาง กลางคืนในระหว่างทางกลับจากท่องเที่ยว และบังเอิญเจอสาวสิงคโปร์ ก็ถามทาง โดยผมพูดกับเธอ แล้วเธอถามผมกลับมาเป็นภาษาอังกฤษว่า คุณ สามารถพูดจีน หรือ ภาษาอังกฤษ ผมเกิดอาการอึ้งไปชั่วขณะ คิดในใจว่า Lost In Translation แล้ว ผมพูดถามทางต่อ จนกระทั่ง ผมทราบว่าจะไปทางไหนกลับที่พักได้

ในข้อมูลหนังสือเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับที่ผมเปิดอ่านเจอนานพอสมควรแล้ว กล่าวถึง ความทรงจำภายในและภายนอก เกี่ยวข้องทางจิตวิทยา เช่น กลิ่นทำให้นึกถึงความทรงจำ ภาพถ่าย ปฏิทิน หนังสือ โดยในความทรงจำของแต่ละคน ก็เปรียบเทียบวันเวลา ดั่งรสชาติเค้กในหนังสือ รีเมมเบอร์ออฟทิงส์พาสต์ ที่ทำให้จิตของมาร์เซล์ พรูสต์ ย้อนเวลาได้ แค่การพูดถึง ก็ทำให้คนเราคิดถึงอดีตโดยไม่รู้ตัว(จิตไร้สำนึก ในสมองทำงาน)

ผมคิดว่า เรามีบาปไม่ลืมเช่นเดียวกัน เมื่อทหารอเมริกา เข้าไปรบในเวียดนาม ก็มีบาปจดจำไม่รู้ลืม โดยสิ่งสำคัญ มีอยู่ว่าบาปนั้น ทำให้มองไม่เห็นประโยชน์ของการลืม ดังที่ ฮอร เฮ ลูอิส เบอร์เฮส (นักเขียน) พูดถึงชายหนุ่ม มีปัญหาเขาจำทุกอย่างได้ และไม่สามารถลืมได้ เขาไม่อาจแยกแยะเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ จัดลำดับความสำคัญ สรุปความได้ เขาไม่อาจสรุป Idea รวบยอดได้ ในเรื่องต่างๆ ได้ บอร์เกส สรุปว่า การลืมต่างหากที่ทำให้เราเป็นมนุษย์ หาใช่จดจำไม่ และการคิด คือ การลืม ใน“เดอะบุ๊ค ออฟเมโมรี”…

กระนั้น ผมรื้อฟื้นความทรงจำกลับมาเขียน ถึงการเดินทางในสิงคโปร์ๆ อยากจะบอก ว่า เราดูละครทีวี เช่น หมวยอินเตอร์ หรือดูภาพยนตร์ แล้วเราก็เหมือนกับการท่องเที่ยวดูวัฒนธรรม และสถานที่ ต่างๆ รวมทั้งการเข้าวัด ในยุคสมัยก็เป็นการเที่ยวงานวัด แต่ว่าไม่ใช่แค่การเดินทางท่องเที่ยวเท่านั้น สำหรับบางคน ที่มีการเข้าวัดทางพระพุทธศาสนาเพื่อธรรมะ ส่วนเรื่องการเดินทางของแต่ละคน มันเป็นเรื่องความหมายทางวัฒนธรรมเอเชีย เช่น ภาพยนตร์ เรื่อง Chungking Express ซึ่งผมกล่าวถึงในตอนที่แล้ว คำว่า Express (แปลได้หลายแบบว่า แสดงความรู้สึก หรือขบวนรถไฟพิเศษ) ในคนเราหลากหลาย มีเป้าหมาย และสถานีปลายทางของการเดินทาง ไม่เหมือนกัน และก็ยกตัวอย่าง ภาพยนตร์เรื่อง 2046 ของ Wong Kar Wai ผู้กำกับคนเดียวกันอีกเหมือนที่ผมกล่าวถึงตอนที่ผ่านมาว่า เกี่ยวกับการเดินทางขึ้นขบวนรถไฟ ที่มุ่งสู่ปลายทาง 2046 จะมีโอกาสย้อนสู่ความทรงจำแห่งอดีตที่สูญหายของตน เมื่อผมคิดว่าอะไร คือ ความหมายของรักและการถูกรัก…

เรื่อง 2046 เข้ามาในความรู้สึกของผม ซึ่งเรื่อง 2046 นั้น มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่ใช้ความพยายามจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้น ในอดีต และฝังความทรงจำที่ตัวเขาเองไม่อาจจะลืมมันลงได้ เป็นสิ่งที่เขาต้องแบกรับมันและอยู่กับมันตลอดมา ซึ่งทำให้มันเกือบเป็นไปไม่ได้ที่จะดำเนินชีวิตต่อไป… เพราะว่า วิถีชีวิต ต้องดำเนินต่อไป ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในลักษณะสังคมไทย ที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตก และจีน ในความหลากหลายของอัตลักษณ์คนไทย จะมีร่วมยุคสมัยกับสิงคโปร์ เกาหลีใต้ ฯลฯ และเราก็หลงลืม และปฏิเสธ รับวัฒนธรรมบางอย่างไป ในการปรับเปลี่ยนของชีวิต จึงมีพิพิธภัณฑ์ ก็สะท้อนความเป็นวัฒนธรรมของเรา เช่น พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของไทย และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์สิงคโปร์ ก็มีความเป็นมาเกี่ยวข้องความเป็นชาติของเขา แต่ว่าผมไม่ได้บันทึกภาพไว้ การเดินทางของผม ไม่ได้เป็นการถ่ายภาพ แนวเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก และผมสนใจสัญลักษณ์บางอย่างของสิงค์โปร์ เช่น เมอร์ไลออน หรือ สิงโตทะเล เท่านั้น

แต่เรื่องของสิงโตทะเล ก็ยาวมากเกินกว่าจะอธิบายหมด กล่าวข้อมูลไม่ยาวๆ นักว่า สิงโตทะเล ถูกออกแบบขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของคณะกรรมการการท่องเที่ยวของสิงคโปร์ (Singapore Tourism Board - STB) ในปี 1964 – รูปปั้นนี้มีหัวเป็นสิงโต ร่างเป็นปลา ยืนอยู่บนยอดคลื่น ต่อมาไม่นานทั่วโลกก็ถือกันว่าสิงโตทะเลตัวนี้คือเครื่องหมายประจำชาติสิงคโปร์

แต่เดิมรูปปั้นนี้ตั้งอยู่ที่สวนสิงโตทะเล (Merlion Park) ข้างๆสะพานเอสพลาเนด (Esplanade Bridge) แม่สิงโตและลูกสิงโตได้กลายเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยว มีการจัดพิธีติดตั้งสิงโตทะเลในวันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1972 โดยมีประธานในพิธีคือนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ณ เวลาดังกล่าว ซึ่งก็คือ นายลี กวน ยู ซึ่งสิงโตตัวนี้สูง 8.6 เมตร มีน้ำหนัก 70 ตัน ทำจากวัสดุจำพวกซีเมนต์ โดยช่างฝีมือชาวสิงคโปร์ผู้เสียชีวิตไปแล้วที่ชื่อนายลิมนังเซ็ง ส่วนรูปปั้นสิงโตทะเลตัวที่สองจะมีขนาดเล็กกว่า ขนาดสูงสองเมตรและหนักสามตัน ก็ถูกสร้างขึ้นโดยนายลิมเช่นกัน ตัวสิงโตทำจากวัสดุจำพวกซีเมนต์ ผิวหนังทำจากแผ่นกระเบื้อง และตาทำจากถ้วยชาสีแดงขนาดเล็ก

ผู้ออกแบบคือนายฟราเซอร์ บรูนเนอร์ (Mr Fraser Brunner) เป็นผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำแวนคลีฟ หัวรูปปั้นเป็นสิงโตหมายถึงสิงโตที่เจ้าชายซางนิลาอุตามะเคยเห็นตอนที่พระองค์พบเกาะสิงกะปุระในปี ค.ศ. ที่ 11 ตามบันทึกของชาวมาเลย์ ส่วนหางที่เป็นปลาคือสัญลักษณ์ของเมืองโบราณเทมาเซ็ค (หมายความว่า "ทะเล" ในภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งสิงคโปร์ถูกค้นพบมาแล้วก่อนที่เจ้าชายนิลาจะตั้งชื่อเกาะนี้ว่า "สิงกะปุระ" (หมายความว่า "สิงโต" (สิงห์) และ "เมือง" (ปุระ) ในภาษาสันสกฤต) นอกจากนี้ สิงโตทะเล หมายถึงจุดเริ่มต้นอันต่ำต้อยของสิงคโปร์ ที่ในอดีตเคยเป็นหมู่บ้านชาวประมง (เช่นเดียวกับเกาะฮ่องกง)

ผมไม่มีความคิด ตีความสัญลักษณ์ หรือใช้ทฤษฎี visualizing และแนวทางการมองภาพถ่ายเป็นตัวบท เรื่องเล่าอะไรเชิงวิชาการ ผมไม่ได้คิดอะไรๆมากมาย มันเป็นเพียงบันทึกความทรงจำของผู้ชาย คนหนึ่งถ่ายภาพระหว่างทางเพื่อไม่ให้หลงลืม การมาเรียนรู้เรื่องราวทางวิชาการโดยตัวของผมมาเอง เพียงคนเดียวในต่างประเทศ และเดินทางชื่นชมสิงคโปร์ เท่าที่ผมจำได้ว่า เดินผ่านอาคารโรงละคร Esplanade ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ กับ สถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำ บริเวณพื้นที่ริมน้ำ ได้แก่ Clarke Quay, Boat Quay ย่านไชน่าทาวน์ (China Town ผมเห็นรอยประทับฝ่ามือดาราฮ่องกง) ย่านชอปปิ้ง บนถนน Orchard และร้านหนังสือ ต่างๆ

แม้ว่า ผมไม่มีเวลาเข้าห้องสมุดมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ซึ่งผมก็ยังรู้สึกดีได้ออกมาข้างนอกมหาวิทยาลัย ก็ขอบคุณ นักวิชาการ คนหนึ่ง เขาพาผมท่องเที่ยวชมสิงคโปร์ (เขาขอให้เป็นความลับ ดังนั้น ผมไม่เปิดเผยชื่อ น่ะ ครับ) โอ้โห ไม่งั้น ผมคงลำบากกับการเดินทาง แม้ว่าจะพกแผนที่สิงคโปร์มาจากเพื่อนคนหนึ่งในไทยแล้ว ผมก็อาจจะเดินมึนงงอยู่คนเดียวนั่นเอง ซึ่งผมเดินบนถนน ได้เห็นประชากรหลากหลายชาติพันธุ์ จีน มาเลย์ อินเดีย และผมพบเพื่อน ใหม่ๆ ในมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ เช่น รูมเมทของผม ซึ่งเขาเป็นอาจารย์ อยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ และไม่มีปัญหาในการนอนหลับพักผ่อน ด้วยเสียงกรน ครอกๆ แหะๆ (ล้อเล่น)

ก่อนผมจะไปขึ้นเครื่องบิน กลับไทยแลนด์ ก็นั่งรถแท็กซี่ร่วมทางไปสนามบินกับนักวิชาการกัมพูชา (ไม่ได้วางแผนการณ์เรื่องเขาพระวิหาร กันหรอก น่ะครับ ) โอกาสทุกๆอย่างของการเดินทาง เกี่ยวกับการเรียนรู้ ตัวเอง เพื่อน และแสดงออกมิตรภาพ เหมือนกับอยู่ในครอบครัว ญาติ พี่น้อง ของเรา ได้เรียนรู้สถานที่ เวลาในการเดินทางท่องเที่ยวกับผู้คน




ในที่สุด ผมขอให้คนอ่าน มีความสุข ที่แวะเข้ามาเลือกอ่านคอลัมภ์ของผม ดูภาพและข้อเขียน มองเห็นศิลปะความงดงามของภาพถ่ายแห่งชีวิต ผมหวังว่าคนอ่านเปิดใจให้กว้าง ผมอาจจะไม่ได้นำเสนอการท่องเที่ยวค้นพบสิ่งยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องไทม์แมชชีน หรือ หลุมดำ และผมไม่ได้ถ่ายภาพ เพื่อพาเที่ยวพิพิธภัณฑ์อันน่าตื่นตาก็ตาม แต่ว่าการเดินทางของผม มีการค้นพบ คือ ความจริงอันเป็นสุขกับการเดินทางในสิงคโปร์ น่ะครับ !!!…

ผลกระทบของการพัฒนาและโลกาภิวัตน์ต่อชาวขมุระหว่างแม่น้ำโขงตอนบน ไทย-ลาว

ผลกระทบของการพัฒนาและโลกาภิวัตน์ต่อชาวขมุระหว่างแม่น้ำโขงตอนบน ไทย-ลาว
ผลกระทบของการพัฒนาและโลกาภิวัตน์ต่อชาวขมุระหว่างแม่น้ำโขงตอนบน ไทย-ลาว นาย อรรคพล สาตุ้ม

บทนำ : ผลกระทบของการพัฒนาและโลกาภิวัตน์ต่อชาวขมุระหว่างแม่น้ำโขงนี้ กล่าวถึงปัญหา 4 ประการ ดังนี้ 1) การเปลี่ยนแปลงของขมุชายแดนในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 2) ผลกระทบของการพัฒนาตามกระแสโลกาภิวัตน์ ที่มีผลต่อชาวขมุ 3) การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวขมุ 4) ทางเลือกของการพัฒนาชาวขมุ วิธีการศึกษาโดยการเก็บข้อมูลเอกสาร และข้อมูลภาคสนาม มุ่งเน้นไปที่กลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบของการพัฒนาและโลกาภิวัตน์ในพื้นที่ บ้านป่าอ้อย ห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว

บริบทความสำคัญของขมุทางประวัติศาสตร์ระหว่างแม่น้ำโขงตอนบนไทย-ลาว

ชาวขมุมีถิ่นฐานอยู่ตามบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตลอดชายแดนไทย-ลาว ชาวขมุเป็นชนชาติเก่าแก่กลุ่มหนึ่งของภูมิภาคอุษาคเนย์ และอาจจะเป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ มาก่อน กลุ่มอื่นๆ เช่น ก่อนที่กลุ่มคนในตระกูลไทย-ลาว จะเคลื่อนย้ายเข้ามาและน่าจะมีส่วนเป็นเจ้าของวัฒนธรรมการถลุงเหล็ก และการสลักหินยุคแรกๆด้วย และขมุ ถือว่าเป็นชาติพันธุ์กลุ่มย่อยของชาวข่า ข่าฮัด ข่าฮอก ข่าเม็ด ข่าหมุ(ขมุ)ดังนั้นขมุเป็นกลุ่มชน ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งในฐานะของความเป็นชนชาติของขมุเองและในฐานะที่เป็นกลุ่มที่คงวัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ ที่มีความเป็นดึกดำบรรพ์อยู่อย่างเด่นชัด คือ ความเป็นมนุษย์ที่ยังเคารพผู้อาวุโสที่เป็นแหล่งของประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ และมีความถ่อมตนที่ไม่ได้ เคยคิดว่ามนุษย์ยิ่งใหญ่ มีอำนาจกว่าธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิตอื่นที่อยู่ร่วมกัน แต่มีความรักเอื้ออาทร ที่มีพื้นฐานว่า มนุษย์ต้องช่วยเหลือกัน ต้องอยู่ร่วมกัน ต้องแบ่งปันกัน และไม่เคยลืมอดีตดังจะเห็นได้จากพิธีกรรมความเชื่อต่างๆ

การรับรู้ศึกษาเรื่องราววิถีชีวิตของขมุ จึงจำเป็นอย่างยิ่ง หากเราต้องการเข้าใจความเป็นมาของวัฒนธรรมไทยและของกลุ่มอื่นๆในอุษาคเนย์หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ปราณี วงษ์เทศ,2543)ชาวขมุถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มภาษามอญ-เขมร มีชื่อทางชาติพันธุ์วิทยาว่า “ออสโตรเอเชียติก”(เสถียร ฉันทะ,2547)เรื่องเล่าและตำนานของขมุว่าครั้งหนึ่งขมุเป็นกลุ่มที่มีความยิ่งใหญ่และเคยสร้างเมืองเป็นหลักแหล่งของตนเอง ซึ่งคนลาวทางตะวันออกถือว่าขมุเป็นกลุ่มที่มีความยิ่งใหญ่และเคยสร้างเมืองเป็นหลักแหล่งของตนเอง ดังนั้นขมุเป็นต้นตระกูลของผู้คนในท้องถิ่นนั้นมาก่อน และมีอำนาจอยู่เหนือภูตผีวิญญาณทั้งหลาย ชาวขมุมีบทบาทสำคัญในการประกอบพิธีกรรมบางอย่างในราชสำนักหลวงพระบาง จิตร ภูมิศักดิ์ สันนิษฐานและรวบรวมเรื่องราวของขมุเอาไว้ว่า ชาวข่าหมุ เรียกตัวเองว่า “ขมุ” หมายถึง ความเป็นคน

แต่ก็มีการถกเถียงเรื่องนี้ของความหมาย เช่น ต้องเรียกกำมุ ไม่ใช่ขมุ คนกำมุไม่พอใจที่ใครเรียกขมุ ถือเป็นคำเรียกดูถูกทางชาติพันธุ์ เพราะคำขมุมาจากข่ามุ หมายถึงขี้ข้า แต่กำมุเป็นคำเรียกตัวเองหมายถึงคน) เพื่อยกระดับคุณค่าศักดิ์ศรีของกลุ่มชาติพันธุ์และการตอบโต้การดูถูกเหยียดหยามเพื่อนำไปเป็นข่า จากหลักฐานดังกล่าวจึงพอคาดคะเนได้ว่า ขมุ เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในเขตสุวรรณภูมิหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีมาตั้งแต่อดีตกาลก่อนหน้าจะสถาปนาอาณาจักรล้านช้างในปีพ.ศ.1896ของเจ้าฟ้างุ้ม บริเวณอาณาจักรที่ชื่อเมืองชวา หรือเซ่า บริเวณหลวงพระบาง กษัตริย์ทั้งหมด 35 องค์ และมีหลักฐานยืนยันกษัตริย์ลำดับที่ 9-12 เป็นชาวข่าหรือชาวขมุ จนกระทั่งเกิดยุครวมอาณาจักรล้านช้างกล่าวอย่างย่อๆในกลุ่มชาติพันธุ์ มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์กับความสัมพันธ์กันของไทย-ลาวนั้น มีความสืบเนื่องและการแลกเปลี่ยนกันในราชอาณาจักรล้านนา-ล้านช้าง-สยาม

เมื่อมีการถูกคุมคามจากปัจจัยภายนอกของการล่าอาณานิคมและมีปัจจัยภายในที่ต้องพัฒนาประเทศของสองประเทศ ทำให้ชุมชนชายแดนถูกผนวกกลืนรวมในระดับความสัมพันธ์ภายใต้ประเทศ และแบ่งแยกออกจากกัน ในช่วงนั้นฝรั่งเศสเข้าปกครองลาว ฝรั่งเศสเลือกให้เวียงจันทน์เป็นศูนย์กลางด้านการปกครอง และผู้ปกครองเป็นคนฝรั่งเศสจำนวนน้อย ส่วนใหญ่ให้คนเวียดนามเป็นผู้ปกครอง รวมถึงอพยพคนเวียดนามเข้ามาทำนาในลาว พวกลาวส่วนใหญ่ยอมรับสภาพของตนแต่โดยดีแม้จะถูกกดดันไม่น้อยจากพวกเวียดนามอพยพ การเก็บภาษี และการเกณฑ์แรงงานของฝรั่งเศส กลุ่มชาตินิยมที่ต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศส ส่วนใหญ่เป็นพวกลาว-เทิง(ดังนี้มีกลุ่มชาติพันธุ์ขมุ เพราะคำนี้รัฐบาลลาวใช้เรียกขมุ ว่าลาวเทิง คือลาวบนที่สูง และนโยบายรวมพวกกลุ่มชาติพันธุ์ของรัฐบาลลาว)(สุวิไล เปรมศรีรัตน์,2541)กับเวียดนามตามเมืองใหญ่ๆ แต่ชาวเวียดนามก็ทำไปเพื่อเอกราชของชาติตนโดยเฉพาะในใจก็หมายมั่นว่าจะยึดเอาลาวและกัมพูชามาเป็นของตนให้ได้ในอนาคตมีชาวลาวลุ่มเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ให้ความสนใจกับการก่อตั้งขบวนการชาตินิยมของเวียดนาม ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานชนชั้นปกครองที่ถูกส่งตัวไปศึกษาที่ฮานอยและไซ่ง่อน ลัทธิคอมมิวนิสต์ยังจำกัดวงแคบอยู่ในหมู่ชาวเวียดนามผู้ศรัทธาในโฮจิมินห์ และต้องเผชิญการปราบปรามจากหน่วยรักษาความมั่นคงของฝรั่งเศสอยู่เนืองๆ พรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีนได้ก่อตั้งขึ้นภายใต้การนำของเวียดนาม โดยมีชาวลาวแท้ๆเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เข้าร่วมขบวนการตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 (ลาวและกัมพูชา,2544)และไทยตกอยู่ภายใต้กึ่งอาณานิคม หรือรัฐกันชน

การเปลี่ยนผ่านยุคสมัยของไทย ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพ.ศ.2475 และลาวที่ขาดการติดต่อกัน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของลาวทำให้มีปัญหาแนวพรมแดนได้มีผลต่อแม่น้ำโขงและปัญหาชายแดนสืบต่อมาถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย ยุคจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่มีหลวงวิจิตรวาทการ ผลิตซ้ำปัญหาการนิยามพรมแดนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีนโยบายเน้นความมั่นคงจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่2 ญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงกิจการต่างๆของอินโดจีนกองทัพไทยภายใต้การนำของหลวงพิบูลสงครามได้ทำศึกกับฝรั่งเศสในอินโดจีนหลายครั้งเพื่อชิงแดนแขวงจำปาศักดิ์กับไชยะบุรีบนฝั่งตะวันตกกลับคืนมา ขณะที่การสู้รบทางบกยังไม่ชี้ขาด(ทางน้ำไทยแพ้)ญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงและเสนอให้มีการพักรบเพื่อเจรจาตกลงกัน ส่งผลให้ฝรั่งเศสต้องยอมยกดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงกลับคืนให้ไทย

แม้จะเสียหน้าอยู่บ้าง แต่ฝรั่งเศสยังได้ชื่อว่าครองอำนาจอยู่ในอินโดจีนต่อมาอีกสี่ปี ญี่ปุ่นเห็นถึงลางแพ้ของฝ่ายตน จึงได้บังคับให้เจ้าศรีสว่างวงศ์ประกาศเอกราชหลังจากญี่ปุ่นแพ้สงคราม ฝรั่งเศสก็เข้ามาเผชิญกับการต่อต้านจากเจ้าอุปราชเพชราช นายกรัฐมนตรีในยุคสงครามและขบวนการ ลาวอิสระ ที่ก่อตั้งขึ้นต่อต้านฝรั่งเศสกับญี่ปุ่นอย่างหนัก คณะรัฐบาลของขบวนการลาวอิสระได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเวียดมินห์ของโฮจิมินห์ได้พยายามก่อตั้งระบบการบริหารประเทศที่ทรงประสิทธิภาพขึ้น เจ้าสุภานุวงศ์ (เจ้าชายแดง)พระอนุชาต่างมารดาของเจ้าอุปราชเพชราชทรงก่อตั้งแนวร่วมลาวรักชาติขึ้น และทางการเจรจาต่อรองกับฝรั่งเศส แต่ก็เปล่าประโยชน์ฝรั่งเศสเคลื่อนกำลังขึ้นเหนือ ขบวนการลาวอิสระซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพวกเวียดนาม พยายามก่อการขึ้นที่เมืองท่าแขก แต่กลับถูกฝรั่งเศสโอบล้อมโจมตีจนแตกพ่าย

แม้จะกลับมาเป็นของฝรั่งเศสอีกครั้ง แต่ฝรั่งเศสก็ยอมอ่อนข้อมอบสิทธิในการปกครองตนเองให้กับลาว ส่งผลให้ขบวนการลาวอิสระแตกแยกออกเป็นหลายฝ่ายฝ่ายแรกเจ้าเพชราช ซึ่งเสด็จหนีมาตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นขึ้นที่กรุงเทพฯ ฝ่ายที่สองคือเจ้าสุภานุวงศ์ ซึ่งมีสัมพันธ์แนบแน่นกับโฮจิมินห์และคอมมิวนิสต์เวียดนาม ฝ่ายที่สามนำโดยเจ้าสุวรรณภูมาซึ่งเข้าข้างฝรั่งเศส ส่งผลให้ฝรั่งเศสต้องดำเนินการทุกอย่างโดยไม่ได้รับความร่วมมือจากขบวนการลาวอิสระ ครั้นปีพ.ศ.2492 ลาวก็มีฐานะเป็น สหพันธรัฐเอกราช ในสหภาพฝรั่งเศส ขบวนการลาวอิสระล่มสลายหนึ่งปีต่อมาเจ้าสุภานุวงศ์ทรงประกาศก่อตั้ง แนวร่วมลาวรักชาติ ขึ้นใหม่และได้พัฒนาขึ้นมาเป็นขบวนการคอมมิวนิสต์ประเทศลาว หลังฝรั่งเศสถอนกำลังออก พ.ศ. 2496 สหรัฐซึ่งหวั่นเกรงว่าลัทธิคอมมิวนิสต์จะขยายอิทธิพล จึงทำการแทรกแซงส่งเงินช่วยเหลือรัฐบาลฝ่ายขวาในนครเวียงจันทน์ ในขณะที่ขบวนการประเทศลาวได้ตั้งฐานที่มั่นขึ้น ที่แขวงหัวพันกับพงสาลีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การเมืองและการทหารในช่วงหลายปีต่อมา มีแต่ความสับสนวุ่นวาย เริ่มตั้งแต่ยุครัฐบาลผสมปีพ.ศ.2503 ตามมาด้วยการก่อรัฐประหารและรัฐประหารเพื่อต่อต้านการทำรัฐประหารทั้งของฝ่ายเป็นกลางและฝ่ายขวาหลายครั้ง

จนกระทั่งพ.ศ.2507 ขบวนการประเทศลาวก็ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการประชุมเจรจาใดๆด้วยอย่างสิ้นเชิง เพราะเชื่อว่ามีแต่การใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจนั้น จึงจะเป็นทางแก้ที่ได้ผลดีที่สุด ช่วงปี พ.ศ.2507-2516 แม้พื้นที่ยึดครองของขบวนการประเทศลาวจะถูกระดมทิ้งระเบิดจากฝูงบินสหรัฐฯอย่างหนัก แต่ก็ยังยืนหยัดสู้รบขยายพื้นที่ต่อไปโดยไม่ย่อท้อ เมื่อสหรัฐถอนตัวจากสงครามเวียดนาม ปี พ.ศ.2516จึงมีการเจรจาหยุดยิงในลาว โดยขบวนการประเทศลาวมีอำนาจต่อรองมากที่สุด ในที่สุด ปีพ.ศ.2518 จึงสถาปนาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ช่วงห้าปีต่อมาลาวได้นำนโยบายคอมมิวนิสต์มาใช้อย่างเข้มงวด ทั้งการควบคุมพระพุทธศาสนา การตัดสัมพันธ์กับไทย และการใช้ความรุนแรงเข้าปราบปรามชนกลุ่มน้อยเผ่าม้ง(กลุ่มชาติพันธุ์ ที่เรียกว่า ลาวสูง) ผู้ปฏิเสธไม่ยอมวางอาวุธและไม่ยอมรับอำนาจของทางการ มีราษฎร์หลายหมื่นคนถูกจับกุมและส่งตัวไป รับการอบรม ยังค่ายสัมมนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(ลาวและกัมพูชา,2544)

อย่างไรก็ตาม กลุ่มชาติพันธุ์ ลาวเทิง-ชาวขมุ เคยมีความสำคัญได้ปรากฏตัวตน ในฐานะกลุ่มชาตินิยม ที่ต่อต้านการปกครองของฝรั่งเศส (เจ้าอาณานิคม) แต่ขมุกลับมีอำนาจหดหายลงเรื่อยๆจากประวัติศาสตร์ แทนที่จะพัฒนาการต่อเนื่อง และสะท้อนตัวตนของขมุเอง ดังกล่าวของความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ กรณีกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง เป็นต้น ส่วนปัญหาอื่นๆในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลง สปป.ลาว ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง คือการตัดความช่วยเหลือ และการปิดล้อมทางเศรษฐกิจจากประเทศตะวันตกประกอบกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากความเสียหายของสงคราม รวมทั้งการสูญเสียบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่อพยพลี้ภัยไปต่างประเทศจำนวนมาก แต่รัฐบาลใหม่ของสปป.ลาว ก็มีความพยายามอย่างมากในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ภายหลังสงครามในช่วงปี พ.ศ.2521-2523 และมีการกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม 5ปี ฉบับแรกในปีพ.ศ.2524-2528 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ลาวสามารถพึ่งตนเองได้ในด้านอาหาร และความเป็นอยู่พื้นฐานต่างๆรวมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน สร้างเส้นทางคมนาคมสายหลักในประเทศ พัฒนาการแจกจ่ายกระแสไฟฟ้า และพัฒนาอุตสาหกรรม

บริบทการเปลี่ยนแปลงของขมุชายแดนในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุการณ์ประเทศสปป.ลาวใช้ระบบเศรษฐกิจที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ ในขณะนั้น ทำให้เศรษฐกิจของชาติขยายตัวช้า และไม่สม่ำเสมอ สืบเนื่องมาจากสาเหตุภายในที่กล่าวมานั้น ก็ยังมีปัจจัยที่เกิดจากภายนอกที่เกิดจากสถานการณ์โลกอีก โดยเฉพาะเหตุการณ์การปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศสหภาพโซเวียตโดยอาศัยหลักเปเรสตอยก้า และกลาสน๊อสในปี พ.ศ.2528 มีผลกระทบต่อนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของสปป.ลาวอย่างมาก เพราะลาวจำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากประเทศในยุโรปตะวันออกและประเทศสหภาพโซเวียตเป็นอย่างมาก ทำให้พรรคประชาชนปฏิวัติลาวจึงต้องมีการกำหนดแนวทางการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางเศรษฐกิจใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยผ่านการประชุมสมัชชาพรรคครั้งที่ 4 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2529 ได้มีมติรับรองแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม 5ปี ฉบับที่2(2529-2533)และรับนโยบายพัฒนาประเทศตามนโยบาย จินตนาการใหม่ หรือกลไกเศรษฐกิจใหม่(New Economic Mechanism:NEM)(สุรชัย ศิริไกร,2541)สภาพการณ์ของประเทศลาว ในปีพ.ศ.2532 นับเป็นปีที่ประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ที่ตกต่ำและมาตรฐาน การดำรงชีวิตที่ต่ำ ซึ่งปรากฏให้เห็นโดยทั่วไป ตามเมืองสำคัญต่างๆไม่ว่าจะเป็นปากเซ เวียงจันทน์ และหลวงพระบาง ปีพ.ศ.2532 นับเป็นปีที่2 ที่รัฐบาลนำนโยบายจินตนาการใหม่ มาใช้อย่างจริงจังในทางการเมืองระหว่างประเทศ นับเป็นปีที่ลาวเริ่มเปิดประตูสู่โลกภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโลกตะวันตก ผู้นำลาวข้ามแม่น้ำโขงมาเยือนไทย และเดินทางไปเยือนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศผู้นำทางด้านเศรษฐกิจแห่งเอเชีย เดินทางไปเยือนจีน และฝรั่งเศส เพื่อแสวงหาความร่วมมือและความช่วยเหลือจากประเทศตะวันตก นโยบายจินตนาการเริ่มส่งผลมีการจัดระเบียบและข้อกำหนดกฏเกณฑ์ใหม่ๆเกี่ยวกับการค้า โครงการก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐานหลายๆโครงการได้บรรลุผลสำเร็จ มีนักลงทุนจากต่างประเทศโดยเฉพาะนักลงทุนจากประเทศไทยได้เข้าไปลงทุนในลาว ถนนทุกสายมุ่งสู่เวียงจันทน์(มานะ มาลาเพชร,2533)

ในด้านการเมืองระหว่างประเทศปีนี้นับเป็นปีแรกที่ลาวเริ่มดำเนินการทางการทูต เพื่อขยายความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศนอกค่าย สังคมนิยมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไทย และสหรัฐอเมริกา เพื่อสนองตอบต่อความจำเป็นทางด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งได้กระชับความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น และฝรั่งเศส ด้วย ความสัมพันธ์ไทย-ลาว ได้รับการสานต่อโดยการเดินทางไปเยือนเวียงจันทน์ของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธนโยบายจินตนาการใหม่กล่าวเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจแล้ว จินตนาการใหม่ หมายถึงการบริหารเศรษฐกิจแบบใหม่ที่มีส่วนสำคัญต่อการเสริมสร้างบรรยากาศให้เอื้อประโยชน์ต่อทางการค้าการลงทุน การเปิดให้ธุรกิจของภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ ตลอดจนนิติบุคคลมีอิสระในการตัดสินใจกำหนดแผนการประกอบกิจการของตน รับผิดชอบต่อการขาดทุน กำไร ตลอดจนการเสียภาษีให้กับรัฐ(สุนทร คันทะวงศ์,2543)นับแต่ลาวเปิดประเทศและพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวทางทุนนิยม นักธุรกิจไทย ได้ลงทุนในสปป.ลาว และลาวเสียดุลการค้าไทย เนื่องจากลาวต้องซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจากไทยและวัสดุก่อสร้าง แนวทางในการลดการเสียเปรียบทางการค้าระหว่างลาว-ไทย คือการเพิ่มปริมาณการผลิตและการขายกระแสไฟฟ้าแก่ไทย รัฐบาลลาวมีโครงการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่บนแม่น้ำโขงและโครงการ22สาขาเพื่อขายกระแสไฟฟ้าแก่ไทยและเวียดนามโดยร่วมลงทุนกับบริษัทต่างชาติและโดยการสนับสนุนจากADB(สนมพรรณ วรวิเชียรวงษ์,2544 )

การเปลี่ยนผ่านกลไกเศรษฐกิจใหม่ ทำให้สถานะเข้าถึงตลาดท้องถิ่นเพื่อสอดคล้องกับภาคบริการของลาวในท้องถิ่น เช่นเดียวกับมีศูนย์กลางโรงเรียนและสุขภาพ ทั้งศูนย์กลางการเมือง ลงทุนในสุขภาพ –การศึกษา ตลอดจนงบประมาณการใช้จ่ายต่างๆ อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงต่อทรัพยากรพื้นที่ การเติบโตในการใช้จ่ายซื้อสินค้าของพื้นที่พึ่งพิงกระแสภายนอกประเทศ และกลับมาในศูนย์กลางรัฐ ที่มีสินค้าราคาสูง กับการหาประตูช่องทางระบายสินค้าออกทางทะเล ทั้งหมดของนโยบายใหม่ทำให้เกินจริง ไม่ว่าจะเป็นภาษีอากร-รายได้ นักลงทุนได้ไหลเข้ามาในแหล่งทรัพยากรพบได้บ่อยกับป่าไม้ ตัดไม้ ส่งออกไม้ กำลังทำขึ้นประมาณ50 เปอร์เซ็นต์ เดินตามขายพลังงานน้ำและเสื้อผ้า ส่งออก จาก บริษัทต่างชาติการพัฒนาขายพลังงานและการมีประชาสังคม NGOs กังวลเรื่องสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์กับภูมิภาค โลกาภิวัตน์ในกระบวนการขนส่งลาวสัมพันธ์กับโลกขนาดใหญ่และผลกระทบภูมิภาคด้วย ภูมิรัฐศาสตร์ และเศรษฐกิจ ที่มีความสัมพันธ์ตั้งแต่พ.ศ.2523 มีการติดต่อ ประเทศไทยซึ่งถือว่ามีอิทธิพลเศรษฐกิจเหนือพรรคคอมมิวนิสต์ลาว กังวลว่า การเติบโตของกระบวนการประชาธิปไตยไทย จะส่งผลต่อทางความคิดคนลาว รวมถึงความน่าชื่นชมทางเศรษฐกิจของชนชั้นกลางไทย อีกทั้งด้านการขนส่งสินค้าและปัจจัยส่งผลต่อประเทศลาวถูกครอบงำทางโทรทัศน์และการท่องเที่ยว(Grant Evans,2002)

ซึ่งดังที่มีผลจากโครงสร้างของนโยบายในประเทศสปป.ลาวเอง ละเลยการสนับสนุนอนุรักษ์วัฒนธรรมชาวขมุอย่างจริงจัง และผลกระทบจากประเทศไทย ในฐานะประเทศ ที่มีพรมแดนติดกัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในขมุชายแดน ท่ามกลางกระแสการพัฒนาและโลกาภิวัตน์ด้านการสื่อสาร โทรคมนาคมขนส่งสินค้าแนวชายแดน ที่เข้ามาตามแนวชายแดนแม่น้ำโขงตอนบนผลกระทบของการพัฒนาและโลกาภิวัตน์ ในนามของสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจหลังสิ้นสุดยุคสงครามเย็น กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมรวมกลุ่มกันเข้าประกาศเขตการค้า และจับมือกันรื้อนโยบายที่เป็นอุปสรรคและกีดกันทางการค้า โลกถูกเชื่อมเข้าด้วยกันโดยการคมนาคมและการสื่อสาร พร้อมๆกับการแพร่ขยายและเชื่อมต่อวัฒนธรรมกันเข้าด้วยความซับซ้อน ทั้งหมดว่ากันว่าโลกกำลังจะจัดระเบียบใหม่ ที่อยู่ภายใต้โลกาภิวัตน์(ศุภชัย เจริญวงศ์,2536:1)

นายกรัฐมนตรี ชาติชาย ชุณหะวัน เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า นายไกรสอน พรหมวิหาร อดีตนายกรัฐมนตรีตอบรับนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ นักลงทุนไทยทำการค้ากับสปป.ลาว สร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว และยังเปิดฉากการทูตโดยนายกรัฐมนตรีเยี่ยมเยือนประเทศลาว และ พระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี(สุภรัตน์ เชาวน์เกษม,2544)การใช้นโยบายการต่างประเทศปูทางแก่นโยบายทางเศรษฐกิจของไทยในภูมิภาคอินโดจีน รัฐบาลอานันท์ก็สนับสนุนการค้าเสรี ให้เป็นจริงมากยิ่งขึ้น พร้อมกับการประสานนโยบายร่วมกันกับนานาประเทศในเอเชีย เพื่อผลักดันการสร้างเขตการค้าต่างๆโลกทั้งโลกกำลังถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันอย่างไร้พรมแดนกำแพงกีดขวางอีกต่อไปการจัดแบ่งปริมณฑลทั้งระดับโลก(สังคมนิยม-ประชาธิปไตย)และภูมิภาคโลก(รัฐชาติ-รัฐชาติ)ในอีกแง่หนึ่งเส้นพรมแดนแบบเก่ากำลังลบหายไป พรมแดนที่เป็นอำนาจของรัฐชาติที่ขยายไปถึง ตัวของมันเองก็เป็นอำนาจด้วยพรมแดน จึงไม่ใช่องค์กรอิสระที่แยกตัวออกจากโครงสร้างสังคมอย่างสิ้นเชิง ในทางตรงข้ามกลับผูกติดเชื่อมกับสังคมอย่างแนบแน่น การก่อรูป การไหวตัว และเปลี่ยนแปลงพรมแดนในแต่ละครั้ง จึงหมายถึงภาพสะท้อนรูปลักษณ์หนึ่งและนโยบายการค้าเสรี หรือ เขตเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ทุน แรงงาน สินค้า และตลาด เปิดออกและโยกย้ายกันอย่างอิสระนั้น เมื่อด้านหนึ่งก็คือการก้าวข้ามพรมแดนชาติไปอย่างเสรี อีกด้านหนึ่งพรมแดนก็กำลังถูกลบเลือนไปโดยเฉพาะการขยายตัวทางการค้าและการลงทุนในสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ(ศุภชัย เจริญวงศ์,2536)

พรมแดนเส้นแบ่งที่ลากผ่านไปบนพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เพื่อสร้างขอบเขตและเป็นสัญลักษณ์อำนาจของรัฐชาติ ซึ่งย่อมสัมพันธ์กับแม่น้ำโขง บนพื้นผิวโลกนี้ที่ประกอบด้วยภูเขาและ อื่นๆ นอกจากเป็นเส้นแบ่งทางภูมิศาสตร์ยังถูกใช้เพื่อการตอกย้ำแบ่งเขาแบ่งเราในความรู้สึกคนที่มีอุดมการณ์ของชาตินิยม ครอบงำข้ามาด้วย และตอกย้ำด้วยความมั่นคงต่อการพัฒนาประเทศไทย จนเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพรมแดนชาติในโลกาภิวัตน์ ที่มีความร่วมมือทางภูมิภาคหรือสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจดังนั้น ในช่วงอดีตของความขัดแย้งทางอุดมการณ์ สิ่งที่คนในแถบชายแดนทำได้ก็คือ ไม่เป็นศัตรูต่อกัน แต่ก็ไปมาหาสู่กันน้อยลง ขณะเดียวกัน ระบบวิทยุโทรทัศน์ และไฟฟ้าก็ยังมิได้แพร่หลายไปถึงบริเวณชายแดน การเผยแพร่วัฒนธรรมจากเมืองหลวง และวัฒนธรรมระดับโลกยังมีน้อย ผลก็คือวัฒนธรรมแบบชายแดนยังมีอยู่มาก 30กว่าปีที่ผ่านมา ขณะที่วัฒนธรรมชายแดนจึงรักษาเอกลักษณ์ของตนเองไว้ได้อย่างโดดเด่น ขณะที่วัฒนธรรมท้องถิ่นทั่วๆไปถูกวัฒนธรรมระดับโลกและระดับชาติครอบงำมากขึ้นตามลำดับผลกระทบของการพัฒนาสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจต่อวัฒนธรรมชายแดน เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจการเมืองระดับสากลส่งผลให้รัฐต่างๆเป็นศัตรูต่อกัน บริเวณชายแดนเหล่านี้ จึงถูกตัดขาดจากการสื่อสารเป็นเวลานาน แต่สถานการณ์ดังกล่าวได้เปลี่ยนไปมาก

นับตั้งแต่ประเทศสังคมนิยมทั้งหลายหันมายอมรับระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี และพรรคคอมมิวนิสต์ที่ต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐประสบภาวะล้มละลาย พร้อมๆกับการเติบโตของพลังเศรษฐกิจแบบทุนนิยมในรับที่หันหลังให้กับลัทธิสังคมนิยม จะเห็นได้ว่าปมเงื่อนของสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ คือ การนำเอาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเข้าไปในบริเวณชายแดน การเข้าไปใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างขนานใหญ่หลังจากที่เคยใช้น้อยมาในอดีต เช่น การตั้งโรงงานอุตสาหกรรม ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทำให้เราพบว่าวัฒนธรรมระดับโลกและวัฒนธรรมระดับชาติเติบโตขึ้นมาก และได้เข้าไปมีบทบาทครอบงำวัฒนธรรมท้องถิ่นมากขึ้นเป็นลำดับ ทำให้วัฒนธรรมท้องถิ่นถูกทำลาย หรือเปลี่ยนแปรเป็นวัฒนธรรมระดับชาติและระดับโลกมากขึ้นเรื่อยๆ แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในทศวรรษต่อไปนี้สำหรับดินแดนสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจอันเป็นช่วงเวลาที่สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจจะได้รับการส่งเสริมอย่างเต็มที่ ก็คือวัฒนธรรมโลก และวัฒนธรรมชาติจะแพร่ขยายรุกเข้าไปในบริเวณชายแดนอย่างมากมาย หลังจากที่เข้าครอบงำวัฒนธรรมระดับท้องถิ่นเรียบร้อยแล้ว (ธเนศร์ เจริญเมือง,2538)

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการแม่น้ำโขง ถือว่ามีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจในแม่น้ำโขงด้วย เพราะ ประเทศสมาชิก ในสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ก็อยู่ในคณะกรรมการแม่น้ำโขงที่มีปัญหาได้ผ่านพ้นวิกฤติการณ์ในประเทศแล้ว ก็กลับมาร่วมมือกันใหม่อีกครั้ง จนกระทั่งประเทศไทย เผชิญวิกฤติเศรษฐกิจปีพ.ศ.2540 อันเนื่องมาจากค่าเงินบาทลอยตัว ส่งผลกระทบไปทั่วภูมิภาคนี้ เพราะนักลงทุนไทยได้เข้าไปเกี่ยวพันกับเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้านหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจ แม้ว่าผลกระทบของโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจต่อประเทศไทย จะมีผลกระทบทางบวกจะเป็นผลประโยชน์ในทางเศรษฐกิจอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมีสภาพคล่องตัวมาก การส่งสินค้าออกและแลกเปลี่ยนสินค้า ใช้แรงงานต่างชาติ มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม แต่ผลกระทบทางลบการแพร่ระบาดยาเสพติด ปัญหาแรงงานข้ามชาติ ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาด้าน สาธารณสุขรวมถึงวัฒนธรรม(ม.ล.พันธุ์สูรย์ ลดาวัลย์, ศิริพงษ์ ลดาวัลย์ ณ อยุธยา,2540)

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยพยายามที่จะเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาทั้งสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ หกเหลี่ยมเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวก็ได้ส่งผลต่อแรงงานข้ามพรมแดนชาวขมุ แอบลักลอบ เข้ามาทำงานในประเทศไทย ซึ่งผลกระทบทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงได้จากตัวอย่างของชาวขมุในแขวงบ่อแก้วและเมืองห้วยทราย บ้านป่าอ้อยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของชาวขมุในแขวงบ่อแก้ว และเมืองห้วยทราย บ้านป่าอ้อย แขวงบ่อแก้วแขวงบ่อแก้วเป็นแขวงที่ตั้งขึ้นใหม่ เมื่อปี 2526 แบ่งเขตการปกครองเป็น 5 เมือง คือ เมืองห้วยทราย เมืองต้นผึ้ง เมืองเมิง เมืองผาอุดม และเมืองปากทา มี425 หมู่บ้านสภาพเศรษฐกิจ เศรษฐกิจของแขวงบ่อแก้ว อาศัยการผลิตภาคเกษตรเป็นหลัก ทั้งการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ พืชสำคัญได้แก่ ข้าวเหนียว ข้าวโพด ยาสูบ กะหล่ำปลี ผักกาด เขียวปลี และถั่วเหลือง การผลิตส่วนใหญ่เพื่อการยังชีพ เหลือจำหน่ายเพียงเล็กน้อย ทางด้านการค้า ส่วนใหญ่เป็นการค้าชายแดนกับไทย ระหว่างเมืองห้วยทรายกับอำเภอเมืองเชียงของ และสินค้าส่วนใหญ่เพื่อการใช้ภายในแขวงเท่านั้น แต่ในช่วง 3ปีที่ผ่านมาหลังจากรัฐบาล สปป.ลาว มีนโยบายเปิดประเทศเพื่อให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้น และผ่อนคลายให้ประชาชนค้าขายได้เสรี ทำให้เศรษฐกิจของแขวงบ่อแก้วเปลี่ยนแปลงไปมาก กล่าวคือ การขนส่ง และการท่องเที่ยว การลงทุนขยายตัวมากขึ้น ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากไทยเข้าไปลงทุนกิจการประเภทไม้แปรรูป เหมืองแร่ และการก่อสร้างต่างๆ (ปัญหาการค้า ชาย แดนไทย-ลาว;นครพนม-คำมวน-และเชียงราย-บ่อแก้ว,2539)

เมืองห้วยทรายเมืองห้วยทรายอยู่ในแขวงบ่อแก้ว
ซึ่งแขวงบ่อแก้วตั้งอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือของลาว มีพื้นที่ตอนบนติดกับชายแดนพม่า และพื้นที่บางส่วนติดแม่น้ำโขงโดยเฉพาะเมืองห้วยทรายตั้งอยู่ตรงข้ามกับอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย เมืองต้นผึ้ง ตั้งอยู่ตรงข้าม อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย พื้นที่ส่วนใหญ่ในแขวงบ่อแก้วเป็นภูเขาสูงและพื้นที่ราบในหุบเขาประมาณ 7,620 ตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 110,000คน กระจัดกระจายอาศัยอยู่ตามพื้นที่ต่างๆทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการทำไร่ทำนา และหาของป่ามาขาย(ปารวี ไพบูลย์ยิ่ง,2545)

เมืองห้วยทราย ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงตรงข้ามกับอำเภอเชียงของไทย ปัจจุบันเป็นจุดผ่านแดนที่นักท่องเที่ยวจากฝั่งไทยนิยมข้ามไปมาก แม้ที่นี่จะไม่มีแผนกวีซ่าเปิดให้บริการเหมือนที่เวียงจันทน์กับหลวงพระบาง แต่เกสต์ฮาวส์กับโรงแรม ร้านค้า หลังจากที่มีการเปิดจุดผ่านแดนขึ้นที่นี่ เศรษฐกิจก็ดีขึ้นทันตา ซ้ำยังลือว่ามีการวางแผนจะสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขง และปรับปรุงถนนสายห้วยทราย-หลวงน้ำทาขึ้นใหม่อีกด้วย โครงการดังกล่าวจะส่งผลให้สามารถเดินทางจากจีนมาถึงกรุงเทพฯได้โดยทางรถยนต์ ฝ่ายไทยกับจีนจึงกระตือรือร้นสนใจโครงการนี้กันมาก แต่ลาวก็ยังกังวลและต้องการศึกษาผลกระทบที่จะเกิดตามมาเสียก่อน

 แต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในปี1997 ก็อาจทำให้ลาวต้องหยิบยกโครงการนี้ขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่แต่เดิมห้วยทรายเป็นเมืองเล็กๆที่มีผู้คนอยู่เพียง 3- 4พันกว่าคน เท่านั้น ในตัวเมือง มี “เฮือนพัก”หรือเกสต์เฮาส์เพียง 2-3 แห่ง สำหรับนักเดินทางที่เข้ามาท่องเที่ยวเท่านั้น กระทั่งปีพ.ศ.2540-41 รัฐบาลลาวมีแผนส่งเสริมปีการท่องเที่ยวภายในประเทศลาว ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเยือนลาวเพิ่มขึ้น ผลพวงจากการท่องเที่ยวนี้เอง ปลุกให้ห้วยทรายที่เคยเป็นเมืองเล็กๆสงบเงียบ กลายเป็นเมืองที่คึกคักเต็มไปด้วยนักเดินทางจากทุกสารทิศ ชาวเมืองห้วยทรายที่เคยใช้ชีวิตเรียบง่าย สุขสงบ ค้าขายเล็กๆน้อยๆ ตามประสาชาวบ้าน ทุกวันนี้ต่างหันมายึดอาชีพธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวกันมากขึ้น

ผลจากการที่ลาวเปิดประเทศรับปีการท่องเที่ยวเมื่อ5 ปีก่อน ทำให้การหาที่พักในเมืองห้วยทรายในทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องยาก เกสต์เฮาส์ผุดขึ้นมากมายราวดอกเห็ด ห้วยทราย ในวันนี้จึงเป็นทั้งเมืองประวัติศาสตร์ และการท่องเที่ยว ที่เต็มไปด้วยนักเดินทาง(ปารวี ไพบูลย์ยิ่ง,2545)อย่างไรก็ตามกระแสของการพัฒนาทั้งสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ หกเหลี่ยมเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง แต่ต้องปรับตัวตามกลไกองค์กรระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย(Asian Development Bank-ADB) มีนิยาม สร้างความหมายของการพัฒนาเพิ่มขึ้น หลังจากได้กล่าวถึงข้อสังเกตข้างต้นในระดับชาติแล้ว จวบจนถึงบ้านป่าอ้อย เป็นหมู่บ้านที่อยู่ในห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ดังกล่าว

ที่มีเงื่อนไขของประวัติศาสตร์การเปิดด่านการค้าขาย การเข้ามาค้าขายของคนจีนในห้วยทรายและการค้าขายกันของห้วยทรายกับเชียงของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมจากภายในชุมชน ทำให้มีการถางไร่แสวงหาที่ดินทำกินทำให้ผสมชนเผ่าในเขตชุมชนเมืองประชาชนปรับเปลี่ยนอาชีพทางเกษตรเพื่อยังชีพเป็นพนักงานรัฐ ประกอบการธุรกิจค้าขาย ปัจจัยภายนอกจากเศรษฐกิจการเมืองสังคม และการศึกษา อีกทั้งสื่อสารมวลชน

ความเจริญและเทคโนโลยีการแพร่กระจายข้อมูลข่าวสารในยุคโลกาภิวัตน์ ชุมชน ปรับวิถีการผลิตจากยังชีพมาผลิตเพื่อบริโภคและขายผลผลิต รับข้อมูลข่าวสารโทรทัศน์มีการเปลี่ยนแปลง วิถีชีวิตพิธีกรรมและความเชื่อให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ที่ห้ามประกอบพิธีกรรมความเชื่องมงาย(ประชัน รักพงษ์,2539)แต่กระแสนิยมทันสมัยกำลังเข้ามามีอิทธิพลมากกว่า เช่น การนำเข้าสินค้าไทยของคนลาวในห้วยทราย รถเครื่องรุ่นใหม่ แต่ละบ้านมีเครื่องใช้ไฟฟ้าเกือบทุกชนิดตลอดทั้งวัน วัยรุ่นหันมาแต่งกายตามสมัยตะวันตก กินข้าวนึ่งจิ้มแจ่วสลับอาหารจานด่วนประเภทข้าวผัด ราดหน้าในชีวิตประจำวัน หลายตัวอย่างที่กล่าวถึงสะท้อนภาพชีวิตที่ได้รับอิทธิพลบางส่วนจากไทยไม่มากก็น้อย

ผลจากการเปิดประเทศของลาว นับว่ามีส่วนผลักดันให้วิถีชีวิตของเมืองตะเข็บชายแดนอย่างห้วยทรายเปลี่ยนไปเช่นกัน ชาวขมุได้ปรับตัวตามชุมชนดังกล่าว มีโทรทัศน์ วิทยุ เกือบสูญเสียอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ เมื่อชาวขมุต้องลงมาอยู่ตามชุมชนเขตเมือง และชาวขมุก็ต้องเลิกพิธีกรรมบางส่วนตามนโยบายของรัฐ และการเปลี่ยนแปลงทางวิถีชีวิต และวัฒนธรรมปัจจุบันชุมชนของแต่ละเมืองในแขวงบ่อแก้วเริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยรับเอาความรู้ วิทยาการสมัยใหม่มาใช้ รู้จักเปลี่ยนวิธีผลิตทางด้านเกษตรจากการใช้แรงงานสัตว์ มาเป็นเครื่องจักรกลทางเกษตรขนาดเล็ก มีการนำรถไถ นำมาไถนาตามการสั่งซื้อสินค้าจากจีนและเครื่องสีข้าวเข้ามาใช้ทุ่นแรง รวมทั้งนำข้าวพันธุ์ที่ปรับปรุงใหม่จาการส่งเสริมมาปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิตของรัฐบาล ทำให้เศรษฐกิจชุมชนเริ่มเปลี่ยนจากกระบวนการแลกเปลี่ยนมาเป็นระบบเศรษฐกิจแบบเงินตรา มีการปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อสนองต่อความต้องการของตลาดภายนอก

ซึ่งเศรษฐกิจก็มีผลต่อการไม่มี ฆ่าหมูเลี้ยงในบ้าน เพราะปัจจัยในการนำเงินไปซื้อหมู ยกตัวอย่าง เช่น พิธีเซ่นไหว้ผีประจำตระกูลหรือผีบรรพบุรุษในบ้าน จัดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่ได้ลงพื้นที่ภาคสนามไม่มีในบ้านป่าอ้อย เนื่องจากไม่มีรายได้เพียงพอ ต่อการใช้จ่ายค่า ซื้อหมูมาเลี้ยงต้อนรับผู้มาเยี่ยมเยือน และรายได้ส่วนใหญ่มาจากการรับจ้างมากกว่าการเกษตรบ้านป่าอ้อยสภาพหมู่บ้านป่าอ้อย ใช้น้ำบาดาล มีไฟฟ้า สิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน วิถีชีวิตจากการเก็บข้อมูลทราบว่า คนห้วยทรายคนจนก็จนมาก คนรวยก็รวยมากเพราะการทำธุรกิจส่งออกการเกษตร ซึ่งแสดงถึงความแตกต่างทางฐานะ และชนชั้นอย่างมาก

คนจนบางส่วนเริ่มผันแปรตัวเองไปเป็นแรงงานตามสวนกับโรงงานถ่านหิน เพราะสังคมเปลี่ยนผ่านจากการทำไร่ทำนา และเปลี่ยนทำสวนส่งออกการเกษตรยังประเทศไทย ที่ยังฝั่งชายแดนของฝั่งตรงข้ามบ้านป่าอ้อย คนลาวรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ต่างกัน ตรงที่ประวัติศาสตร์จากเดิมที่ลำบากผ่านการสู้รบการปกครองฝรั่งเศส สงคราม และคอมมิวนิสต์ มาเริ่มเปลี่ยนไปสร้างตัวตนทางเศรษฐกิจมากขึ้น เมื่อเปิดชายแดน สิบกว่าปี

ขณะนี้คนรุ่นใหม่หลงใหลบ้านตึก มากกว่าบ้านไม้ที่เป็นเรือนหลังคาตูบ ต้องการไฟฟ้าใช้ทุกบ้าน ดูละครทีวีไทย ซื้อเสื้อผ้าไทย ฯลฯ จากเสื้อผ้าการแต่งกายแบบคนไทย ทำให้แน่นอนว่า อัตลักษณ์(Identity)การแต่งกายชาวขมุเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนมากที่สุดเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในสปป.ลาวที่เปิดประเทศมากขึ้น ทำให้เกิดขบวนการส่งคนลาวและชาวขมุไปทำงานในกรุงเทพฯ แล้วส่งเงินกลับมาที่บ้าน เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

ปัจจัยเงินเข้ามาเป็นตัวกำหนดสร้างฐานะร่ำรวย เริ่มเปลี่ยนแปลงจากบ้านที่ไม่เคยมีไฟฟ้าใช้เริ่มนำไฟฟ้าเข้าบ้าน และความเจริญเติบโตของธุรกิจส่งออกการเกษตร ปัจจัยการผลิตของสวนขึ้นอยู่กับแรงงาน ที่มีลูกจ้างจากกลุ่มชาติพันธุ์ขมุปัญหาชาติพันธุ์ขมุ(ความเป็นชายขอบ?)ในบ้านป่าอ้อย ประสบกับความยากจนทั้งไม่มีที่ทำมาหากิน คือไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ต้องรับจ้างตัดไม้ ทำสวน และได้ส่งลูกหลานไปรับจ้างขับรถพานักท่องเที่ยว ข้ามฝั่งทำงานในไทย และครอบครัวต้องอยู่อย่างประหยัดอดทน และปัญหาลูกมาก

ส่วนบ้านสร้างตามฐานะทางเศรษฐกิจ บางบ้านปักเสาบ้านไว้ชั่วคราว ตัวอาคารสร้างไม่เสร็จ หรือบางบ้านเป็นเพียงเรือนไม้ ไม่มีรัฐคอยดูแลวิถีชีวิต วัฒนธรรมชาวขมุปรับตัวเข้าร่วมพิธีกรรมและความเชื่อ ดังเช่น พิธีกรรมแห่บั้งไฟ ที่จัดโดยชาวบ้านสะท้อนถึงความเป็นปึกแผ่นของสังคมที่หลงเหลือ อยู่ผูกพันกับความเชื่อเรื่องขอฝน ซึ่งความแตกต่างของความเชื่อชาวขมุ กับลาวลุ่ม แต่รัฐก็จัดการให้อยู่ร่วมกันได้โดยเข้ามาจัดพิธีกรรมนี้ด้วย

อนึ่ง จากปัญหาแนวทางการพัฒนาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเข้ามาในชายแดนแม่น้ำโขง และมีขนส่งสินค้าเกษตรข้ามฟากไทย-ลาว และการเดินเรือสินค้า ในลุ่มแม่น้ำโขงผ่านมาที่จุดจอดเรือรับสินค้าของเมืองห้วยทราย และเรือสำหรับพานักท่องเที่ยวไปหลวงพระบางของเมืองห้วยทราย ที่มีบริบทผลกระทบจากการพัฒนาในระดับประเทศ มาสู่จังหวัดในไทย-ลาว และชุมชนไทย-ลาว มีผลกระทบกับชาวขมุในระดับจุลภาคของสปป.ลาวในห้วยทราย บ้านป่าอ้อย จากโครงสร้างของอำนาจในอดีตการพัฒนาตามแนวคิดของเจ้าอาณานิคม และเศรษฐกิจ ได้ทำให้เหลือความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ลาวลดน้อยลง

เมื่อมีแผนที่ คือผลของเทคนิควิทยาการของวิทยาศาสตร์แบ่งเขตแดนกัน จนกระทั่งในปัจจุบัน มีทั้งการใช้ดาวเทียมเพื่อการทำแผนที่ให้มีอาณาเขตชัดเจน ยิ่งขึ้นและวางแผนเดินเรือ หรือใช้ทรัพยากรของเขื่อนในประเทศลาวขายไฟฟ้าให้ไทยเป็นต้น นี้เป็นปัจจัยการพัฒนาของประเทศ รวมทั้งจากประเทศในภูมิภาคได้เปิดประเทศอีกครั้งในยุคโลกาภิวัตน์นี้ เแรงผลักดันทำให้เกิดคลื่นการรวมตัวเป็นกลุ่มภูมิภาคหรืออนุภูมิภาค อาจกล่าวได้ว่าเป็นพฤติกรรมของรัฐ และกลุ่มทุนและปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของทั้งสองนี้มีบทบาทสำคัญ

โดยหลักตรรกะของกระบวนการสะสมทุน กลุ่มทุนข้ามชาติได้จัดองค์กรการผลิตของตนในระดับโลก ขณะเดียวกันรัฐก็พยายามรวมกลุ่มกันในระดับภูมิภาค เพื่อให้การช่วยเหลือแก่กลุ่มทุนแห่งชาติ เพราะต้องการเปิดพรมแดนใหม่ เพื่อการลงทุนที่สอดคล้องกับการเป็นพื้นที่สำหรับตั้งฐานการผลิตของกลุ่มทุน ทั้งทุนระดับข้ามชาติ ทุนเล็กระดับชาติ อีกทั้งทุนที่เติบโตภาคต่างๆ การสร้างความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศของไทยกระนั้นทุนที่เติบโตภาคต่างๆ การสร้างความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศของไทย จะกลายเป็นอุดมการณ์ใหม่เป็นจุดขายของชนชั้นนำในสังคมเข้ามาทำหน้าที่เป็นวาทกรรมใหม่แทน ลัทธิพัฒนานิยม ด้วยเนื้อหาเดียวกัน แต่เรียกขานต่างกัน คือจุดหนักมุ่งสนองเติบโตเศรษฐกิจละเลยมิติความเป็นธรรมและสิ่งแวดล้อม(สุธี ประศาสน์เศรษฐ ,2537)

อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญที่ต้องกล่าวถึงของชาวขมุจะสัมพันธ์กับปัญหาระดับประเทศไทย-ลาว-จีน หรือสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ-หกเหลี่ยมเศรษฐกิจ และปัญหาระดับจังหวัด ที่มีผลกระทบจากการเปิดด่านไทย-ลาว ตั้งแต่ปีพ.ศ.2526 ความสัมพันธ์ดีขึ้น เปิดด่านเชียงของ กับห้วยทราย เกิดท่าเรือบั๊ก หรือแพขนานยนต์ ท่าเรือข้ามฟาก ท่าเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่จากการสร้างความหมายเปลี่ยนจากสนามรบเป็นสนามการค้า ปีพ.ศ.2532 เปิดจุดผ่านแดนถาวร มีการท่องเที่ยวส่งผลกระทบด้วย ปัจจุบันหลังเปิดจุดผ่านแดนสากล ปีพ.ศ.2537 จนถึงสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ดังกล่าวไปทั้งหมดแล้ว และปฎิบัติการของความหมายทางการร่วมมือในสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ GMS ในอนุภูมิภาค นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางความสัมพันธ์ในวิถีชีวิต

เพราะวาทกรรมว่าด้วยการพัฒนาระดับโลกาภิวัตน์ที่ครอบคลุมภูมิภาคและรัฐชาติเข้ามาถึงระดับจังหวัดชายแดนในระดับชุมชน- หมู่บ้านป่าอ้อยที่โดนปัญหา การท่องเที่ยว การเดินเรือสินค้า ความยากจน ต่างๆที่มาพร้อมการพัฒนาทางสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ประเด็นดังกล่าวกับชาวขมุ ส่งผลให้ราวกับว่าชาวขมุกลายเป็น คนชายขอบของการพัฒนาและโลกาภิวัตน์ ไม่มีความสำคัญเท่ากับบริบทในประวัติศาสตร์เลย

สรุป
อุดมการณ์ของโลกาภิวัตน์(Ideologies of Globalization )ได้เข้ามาครอบงำต่อชาวขมุเพราะว่าหลังสงครามเย็นของอุดมการณ์สังคมนิยม ได้มีการเปิดประตูการค้าสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจทับซ้อนด้วยผลประโยชน์ของนิยามการพัฒนา และโลกาภิวัตน์ในแม่น้ำโขงตอนบนต่อชาวขมุเอง ไม่ทราบถึงผลกระทบนี้ในระดับโครงสร้างขนาดใหญ่(เหมือนหมวกใบใหญ่ครอบหัว) เพราะตัวชาวขมุพบโซ่ปัญหาซ้อนปัญหา หรือกล่าวว่า โซ่เก่ารัดตัวแล้ว โซ่ใหม่กำลังรัดรอบหัวอีกด้วย โซ่ใหม่คือโลกาภิวัตน์ โซ่เก่า คือ ไม่มีพื้นที่ทำไร่ นา บนที่ราบ กับบนภูเขาแล้ว ทำให้ชาวขมุอพยพเข้ามาอยู่ในเขตตัวเมือง และเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการเกษตร เป็นผู้ใช้แรงงานในโรงงาน ต้องขับรถพานักท่องเที่ยว ในเมืองห้วยทราย ดังที่ว่าโลกาภิวัตน์เป็นสองด้านซ้อนกันให้ชาวขมุ มีงานทำพานักท่องเที่ยว แต่วิถีชีวิตไม่เหมือนเดิมโดยมีการพิจารณาTransnationalism จากมุมมองของประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์วรรณา(historical ethnography)งานศึกษาทางประวัติศาสตร์ การอพยพเคลื่อนย้ายผู้คนความคิด วัฒนธรรม หากคนท้องถิ่นเป็นชั้นปกครองและมีสถานภาพทางสังคมและอำนาจทางเศรษฐกิจการเมือง เช่น ในไทย และใน สปป.ลาวเอง ชาวขมุ พยายามปรับตัวให้เป็นคนท้องถิ่น(assimilate)กลายเป็นคนท้องถิ่น หมายถึงโอกาสในการเลื่อนสถานภาพทางสังคม

 นี้เป็นกระบวนการสร้างพรมแดนทางเชื้อชาติแบ่งแยกระหว่าง คนท้องถิ่น และผู้มาเยือนขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์จากที่กล่าวมาถึงบทบาทในอดีตทางชาติพันธุ์ และสังคมในปัจจุบัน ดังนั้นทำให้ความเป็นขมุของการเมืองด้วยกระนั้นสาเหตุผลกระทบต่อการเปลี่ยนวิถีชีวิตจากวาทกรรมการพัฒนาของรัฐ และภายใต้โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พึ่งพิงเศรษฐกิจจากภายนอกของการท่องเที่ยว มีความสัมพันธ์ ระหว่างกับแม่น้ำโขงตอนบนของประเทศไทย

อย่างไรก็ดี ควรมีทางเลือกของการพัฒนาให้ชาวขมุ มีกรรมสิทธิ์ที่ดินทำกิน ทำไร่ ทำนา มีพื้นที่เพาะปลูก และเตรียมนิยามของนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืน คือมีข้อเสนอนโยบายป้องกันทางวัฒนธรรม กับรองรับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของชาวขมุ

บรรณานุกรมภาษาไทย
เกษียร เตชะพีระ. 2538. วิวาทะโลกานุวัตร. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ผู้จัดการ.
คณะทำงานร่วมธนาคารแห่งประเทศไทย และ ธนาคารแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว. 2539.
ปัญหาการค้าชายแดนไทย-ลาว (นครพนม-คำม่วน และเชียงราย-บ่อแก้ว). กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.
จิตร ภูมิศักดิ์.2547. ข้อเท็จจริงว่าด้วยชนชาติขอม : อันเนื่องมาจากความเป็นมาของคำสยาม ไทย, ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. 2546. “จากอาณานิคมาภิวัฒน์สู่โลกาภิวัตน์.” สารคดี 19, 225 (พฤศจิกายน 2546) :57-69.
ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร.2543 วาทกรรมการพัฒนา: อำนาจ ความรู้ ความจริง เอกลักษณ์ และความเป็นอื่น = Development discourse power knowledge truth identity and otherness. กรุงเทพฯ: ศูนย์วิจัยและผลิตตำรา มหาวิทยาลัยเกริก.
ธเนศวร์ เจริญเมือง. 2538.ไทย-พม่า-ลาว-จีน สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ สี่เหลี่ยมวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์คบไฟ.
ธีระ นุชเปี่ยม. 2541. การเมืองโลกหลังสมัยใหม่. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศิลป์สยามบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์.
เบลโล, วอลเดน คันนิงแฮม, เชียร์ และปอห์, ลี สวน. 2542. โศกนาฏกรรมสยาม : การพัฒนาและการแตกสลายของสังคมไทยสมัยใหม่. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง.
ปารวี ไพบูลย์ยิ่ง. 2545. เส้นทางไทยเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้าน เชียงของ-หลวงน้ำทา-เมืองสิง-เชียงรุ่ง. กรุงเทพฯ: โครงการอาณาบริเวณศึกษา 5 ภูมิภาค.
ปราณี วงษ์เทศ.2543. สังคมและวัฒนธรรมในอุษาคเนย์ = Ethnology of mainland Southeast Asia.กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรม.
_________ . 2544. เพศและวัฒนธรรม = Gender and culture. กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรม.
_________ , ผู้แปล.2548. เกิดเป็นกำมุ ชีวิตและหมู่บ้าน. กรุงเทพฯ: มติชน.ประชัน รักพงษ์.2539.

การศึกษาสภาพเศรษฐกิจและวัฒนธรรมชุมชนในเขตเส้นทางสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจไทย-ลาว-จีน = A study of economics and local culture in the economic quardrangle route Thailand-Laos-China. เชียงใหม่ : โครงการเพื่อนบ้านศึกษา สถาบันราชภัฏเชียงใหม่.

พวงนิล คำปังสุ์, ผู้แปล.2544. ลาวและกัมพูชา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์หน้าต่างสู่โลกกว้าง.
พันธุ์สูรย์ ลดาวัลย์, ม.ล. และ ศิริพงษ์ ลดาวัลย์ ณ อยุธยา. 2540. การกำหนดนโยบายต่างประเทศของไทย = The Making of Thai foreign policy. เชียงใหม่: คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
_________ . 2540. ผลกระทบของโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจต่อประเทศไทย : รายงานการวิจัย. เชียงใหม่ : คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
มหาคำ จำปาแก้วมณี และคณะ. ประวัติศาสตร์ลาว. แปลโดย สุวิทย์ ธีรศาศวัต. 2539. ขอนแก่น: คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
มหาสีลา วีระวงส์ม, ผู้เรียบเรียง. ประวัติศาสตร์ลาว. แปลโดย สมหมาย เปรมจิตต์.2535. เชียงใหม่: สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
มานะ มาลาเพชร.2533. “ลาว.” เอเชียรายปี 1990/2533 :18.
ยุค ศรีอาริยะ.2544. มายาโลกาภิวัตน์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.
_________ . 2544วิเคราะห์ระบบโลกในสหัสวรรษใหม่. กรุงเทพฯ: มูลนิธิวิถีทรรศน์.
วิภา อุตมฉันท์.2544. ผลกระทบของสัญญาณวิทยุและโทรทัศน์ข้ามพรมแดนระหว่างไทย-ลาว. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ศุภชัย เจริญวงศ์. 2536. สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ:พัฒนาการของพรมแดนในความซับซ้อนของระบบโลก รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา ทฤษฏีพัฒนาสังคม ภาคการศึกษาที่ 2/2536. (อัดสำเนา).
สนมพรรณ วรวิเชียรวงษ์. 2544.ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศไทย-ลาวที่มีผลต่อการกำหนดภาวะการค้าชายแดน. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภูมิภาคศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
สุเทพ สุนทรเภสัช. 2540. มานุษยวิทยากับประวัติศาสตร์ : รวมความเรียงว่าด้วยการประยุกต์ใช้แนวความคิดและทฤษฎีทางมานุษยวิทยาในการศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์เมืองโบราณ.
สุนทร คันทะวงศ์. 2543. การเปลี่ยนแปลงนโยบายการสื่อสารโทรคมนาคมของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จากการผูกขาดเข้าสู่การเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ. วิทยานิพนธ์วารสารศาสตรมหาบัณฑิต คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
สุนีย์ เลี่ยวเพ็ญวงษ์. 2546. รายงานการวิจัยเรื่อง การศึกษาสถานภาพองค์ความรู้เกี่ยวกับระบบคิดผ่านงานวรรณกรรมลุ่มน้ำโขง. ขอนแก่น: ศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มน้ำโขง คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
สุภรัตน์ เชาวน์เกษม. 2544. ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในทัศนะของคนลาว : กรณีกำแพงนครเวียงจันทน์. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภูมิภาคศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
สุรชัย ศิริไกร. 2543. การพัฒนาเศรษฐกิจการเมืองลาว. กรุงเทพฯ: สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สุวิไล เปรมศรีรัตน์. 2541 สารานุกรมกลุ่มชาติพันธุ์ขมุ. นครปฐม : สำนักงานวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเซียอาคเนย์, สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล.

สุธี ประศาสน์เศรษฐ .(สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย).2537. อนาคตของวิเทศคดีศึกษาในประเทศไทย : ศักยภาพและทิศทาง : เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการ ; วันที่ 10-11 พฤศจิกายน 2537 ณ โรงแรมแอมบาลเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน พัทยา. กรุงเทพฯ: สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย.

เสถียร ฉันทะ. ยศ สันตสมบัติ บก.[และคนอื่น ๆ] .2547.นิเวศวิทยาชาติพันธุ์ ทรัพยากรชีวภาพและสิทธิชุมชน. เชียงใหม่ : วิทอินดีไซน์.

อภิญญา เฟื่องฟูสกุล.2546.อัตลักษณ์ : การทบทวนทฤษฎีและกรอบแนวคิด = Identity. กรุงเทพฯ :คณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาสังคมวิทยา ; สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ.
อรรคพล สาตุ้ม.2548. ผลกระทบของการพัฒนาและโลกาภิวัตน์ต่อทรัพยากรธรรมชาติในแม่น้ำโขงตอนบน : การหายไปของปลา. คณะบัณฑิตวิทยาลัย สาขาภูมิภาคศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
อภิชัย พันธเสน. 2540. แปล, เมื่อบรรษัทครองโลก.กรุงเทพฯ : เสมสิกขาลัย.ภาษาอังกฤษ
Evans, Grant. 2002. A Short history of Laos : the Land in Between. Chiang Mai : Silkworm Books, 2002.
“Greater Mekong Sub Region State-of-The Environment Report Mekong River Commission”.1997. Bangkok,Thailand June 1997.

(Mimeograph).“International Conference Impact of Globalization, Regionalism and and Nationalism on Minority Peoples in Southest Asia 15-17 November 2004” 2004. Chiang Mai:Thailand Social Research Institute Chiang Mai University.

Mark Rupert. 2000. Ideologies of globalization : contending visions of a new world order.London ; New York : Routledge.

Mayoury Ngaosrivathana and Breazeale Kennon. 2002. Breaking New group in Lao HistoryEssays on the Seventh to Twentieth Centuries. Chiang Mai: Silkworm Books.

Mingsarn Kaosa-ard and Dore, John, eds. 2003. Social Challenges for the Mekong Region. Chiang Mai: Chiang Mai University.
Osborne, Milton. 2000.The Mekong : Turbulent Past, Uncertain Future. St Leonards, N.S.W.: Allen & Unwin.

วารสารปฤษฐา รัตนพฤกษ์. ปัญหาข้ามพรมแดนและสภาวะไร้พรมแดนโลกที่เปลี่ยนไปหรือมุมมองของนักวิชาการที่เปลี่ยนไป? สังคมศาสตร์ ปีที่ 15 ฉบับ 1/2545 :39

รายชื่อผู้ให้สัมภาษณ์เริม บุญเรือน. 2546.เจ้าของสวน และขนส่งสินค้าเกษตร. สัมภาษณ์. 23 มิถุนายน 2546.บุญเดช บุญเรือน.2547. ลูกเจ้าของสวน. สัมภาษณ์. 17 เมษายน 2547.กั้ม (ไม่เปิดเผยชื่อจริง)และครอบครัว.2547.รับจ้าง. สัมภาษณ์. 14 เมษายน 2547.

หมายเหตุ: บทความนี้ นำเสนอในงานการประชุมเชิงวิชาการและนิทรรศการเรื่อง กลุ่มชาติพันธุ์กับการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีวันพฤหัสที่ 22 มิถุนายน 2549 08.00 - 08.30 น. ลงทะเบียน หน้าโรงละคร คณะศิลปศาสตร์ 08.30 - 09.15 น. พิธีเปิด ณ โรงละคร คณะศิลปศาสตร์ การแสดงของกลุ่มชาติพันธุ์ จากแขวงเซกอง และอัดตะปือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 09.15 - 10.15 น. ปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การศึกษากับการพัฒนากลุ่มชาติพันธุ์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง” โดย Professor Dr. Jerald W. Fry ผู้อำนวยการสถาบัน International and Intercultural Education, University of Minnesota, USA 10.15 – 10.30 น. อาหารว่าง 10.30 – 12.00 น. การนำเสนอบทความ คาสิโน การท่องเที่ยวชายแดนและผลกระทบต่อกลุ่มชาติพันธุ์ไทย- เขมร โดย ผ.ศ. ดร. กนกวรรณ มะโนรมย์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ดำเนินรายการและวิจารณ์โดย ผ.ศ. ดร. สุชาดา ทวีสิทธิ์ การศึกษาประวัติศาสตร์และการเปลี่ยนแปลงของชุมชนอาข่า ดอยสะโง๊ะ ตำบลศรีดอนมูล อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดย ศิริพร โคตะวินนท์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยเชียงใหม่ ดำเนินรายการและวิจารณ์โดย อ. วัชรี ศรีคำ เขื่อนกับความรุนแรงและขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของชนพื้นเมืองในจังหวัดรัตนคีรี ประเทศกัมพูชา โดย ผศ. สมหมาย ชินนาค มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ดำเนินรายการและวิจารณ์โดย ดร. ศรันย์ สุดใจ 12.00 – 13.00 น. อาหารกลางวัน 13.00 - 14.30 น. บรรยายพิเศษ เรื่อง “ประสบการณ์การทำหมู่บ้านชนเผ่าในอุทยานแห่งชาติบาเจียง แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว” โดย คุณวิมล กิจบำรุง เจ้าของโครงการอุทยานแห่งชาติบาเจียง 14.30 – 14.45 น. อาหารว่าง 14.45 - 16.30 น. การเสนอบทความ พัฒนาการสภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์ไทลาวสองฝั่งโขง โดย ดร. นพดล ตั้งสกุล มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดำเนินรายการและวิจารณ์โดย อ. ติ๊ก แสนบุญ ปัจจัยที่มีผลต่อการเข้าสู่อาชีพขายของที่ระลึกของผู้หญิงม้ง ในเมืองซาปา จังหวัดหล่าวกาย ประเทศเวียดนาม โดย อ. วัชรี ศรีคำ มหาวิทยาลัยอุบล ราชธานี ดำเนินรายการและวิจารณ์โดย ผศ. กิติพร โชประการ ผลกระทบของการพัฒนาและโลกาภิวัตน์ต่อชาวขมุระหว่างแม่น้ำโขงตอนบน ไทย – ลาว โดย นายอรรคพล สาตุ้ม โรงเรียนยอแซฟ จังหวัดพิจิตร ดำเนินรายการและวิจารณ์โดย อ. ธวัช มณีผ่อง วันศุกร์ที่ 23 มิถุนายน 2549 09.00 - 10.30 น. การนำเสนอบทความ แผนที่วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา: เครื่องมือจัดการทรัพยากรโดยชุมชน โดย รศ. เสาวภา พรสิริพงษ์ มหาวิทยาลัยมหิดล ดำเนินรายการและวิจารณ์โดย ผศ. ดร. กนกวรรณ มะโนรมย์ รัฐฉานในช่วงสมัยอาณานิคม : รากฐานความขัด แย้งทางอัตลักษณ์ไทใหญ่ หรือปมแตกหักความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ โดย นายอาสา คำภา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดำเนินรายการและวิจารณ์โดย ดร. อินทิรา ซาฮีร์ ชุมชนหาดวี : อัตลักษณ์ชาติพันธุ์บนพื้นที่กายภาพเฉพาะของชนเผ่าเกรียง เมืองกะลึม แขวงเซกอง สปป.ลาว โดย รศ. ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์ มหาวิทยาลัยมหา สารคาม ดำเนินรายการและวิจารณ์โดย ผศ. สมหมาย ชินนาค 10.30 – 10.45 น. อาหารว่าง 10.45 – 12.00 น. เสวนาโต๊ะกลม เรื่อง การพัฒนาชีวิตและวัฒนธรรมของชนเผ่าในแขวงเซกองและอัดตะปือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดย ท่านสีวิไล จันทะวง หัวหน้าแผนกวัฒนธรรมแขวงเซกอง ท่านคำพอน หัวหน้าแผนกวัฒนธรรมแขวงอัดตะปือ ดำเนินรายการโดย ผศ. สมหมาย ชินนาค 12.00 – 13.00 น. อาหารกลางวัน 13.00 – 14.45 น. เสวนา เรื่อง การจัดการความรู้ทางชาติพันธุ์ในสถาบันการศึกษาของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ผศ. ดร. สุชาดา ทวีสิทธิ์ คณบดีคณะศิลปศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสังคมอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี รศ. ดร. เยาวลักษณ์ อภิชาติวัลลภ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพหุลักษณ์สังคมลุ่มแม่น้ำโขง มหาวิทยาลัยขอนแก่น ดร. ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร รศ. ศุภชัย สิงห์ยะบุศย์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม อ. สันติพงษ์ ช้างเผือก มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ดำเนินรายการ : อ. ธวัช มณีผ่อง 14.45 – 15. 00 น. อาหารว่าง 15.00 – 16.00 น. บรรยายพิเศษ "กลุ่มชาติพันธุ์กับการพัฒนาในลุ่มน้ำโขง : การสังเคราะห์ภาพรวมและโจทย์การวิจัยที่ท้าท้าย โดย ดร. สุเนตร ชุตินธรานนท์ 16.00 – 16.30 น. พิธีปิด เชิญชมนิทรรศการ “วิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง” ณ บริเวณหน้าโรงละคร คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มีการสาธิตการทอผ้ากี่เอว ของชนเผ่าตะเลียง แขวงอัดตะปือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พร้อมทั้งเลือกซื้อผ้าทอมือสลับลูกปัด อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่หาชมได้ยากของชนเผ่าตะเลียงwebmaster of http://www.semsikkha.org

"ศิลปกรรม" อนุสาวรีย์ ปรีดี พนมยงค์ ตั้ว ลพานุกรม-พูนศุข พนมยงค์ และประชาชน

"ศิลปกรรม" อนุสาวรีย์ ปรีดี พนมยงค์ ตั้ว ลพานุกรม-พูนศุข พนมยงค์ และประชาชน
“ศิลปกรรม” อนุสาวรีย์ ปรีดี พนมยงค์ ตั้ว ลพานุกรม- พูนศุข พนมยงค์ และประชาชนประเด็นของบทความ มองผ่านศิลปกรรม “อนุสาวรีย์ปรีดี” กระบวนการเรียกร้องต่อสู้ของการมีอนุสาวรีย์ ปรีดี พนมยงค์ และ อนุสาวรีย์คณะราษฎรสายพลเรือน ดร.ตั้ว ลพานุกรม ซึ่งถูกยกย่องเป็นรัฐบุรุษวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คือ ศิลปะกับตัวแทนทางวิทยาศาสตร์ ความสำคัญที่นำอนุสาวรีย์ปรีดี กับตั้ว มาศึกษาจะเห็นภาพสะท้อนตรงกันข้ามกันทางความหมายทางศิลปะ และกรณีพูนศุข พนมยงค์ คู่ชีวิตของปรีดี จนถึงการมองผ่านมาเห็นคุณค่าของอนุสาวรีย์สามัญชนหรือประชาชน

อรรคพล สาตุ้มเจ้าหน้าที่พิเศษโครงการย้อนร้อยอดีตจิตรกรรมวัดอุโมงค์

การพิจารณาอดีต
การระลึกถึงอดีต มีวิธีการเพื่อสื่อสารหลายอย่างโดยการสร้างอนุสาวรีย์ แบบเรียน และบันทึกเหตุการณ์เล่าถึงอดีตว่า คณะราษฎรได้ถูกจัดตั้ง และประชุมครั้งแรก ณ หอพักในฝรั่งเศส โดยต่อมาสมาชิกคณะราษฎร มีจำนวนเพิ่มขึ้น หลังจากกลับมายังประเทศสยาม จึงแบ่งเป็นสามสายคือ สายทหารบก สายทหารเรือ สายพลเรือน โดยสมาชิกที่สำคัญในการก่อตั้งคณะราษฎร ในแต่ละสายได้แก่ สายทหารบก: พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน), พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน), พระยาฤทธิ์อัคเนย์ (สละ เอมะศิริ), พระประศาสน์พิทยายุทธ (วัน ชูถิ่น), และ หลวงพิบูลสงคราม (แปลก ขีตตะสังคะ ) สายทหารเรือ: หลวงสินธุสงครามชัย, หลวงศุภชลาศัย, หลวงสังวรยุทธกิจ, และหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์(ต่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี) สายพลเรือน: หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์), หลวงศิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี), หลวงโกวิทอภัยวงศ์ (ควง อภัยวงศ์ ต่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี), ตั้ว ลพานุกรม, แนบ พหลโยธิน, ทวี บุณยเกตุ(ต่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี), และประยูร ภมรมนตรีจากรายชื่อของคณะราษฎร แล้ว จะเห็นได้ว่า ชื่อ มีความสำคัญ ในเวลาต่อมา ที่คณะราษฎร ขึ้นมาปกครองประเทศ เช่น ชื่อถนนประชาธิปัตย แล้วเปลี่ยนเป็นถนนพหลโยธิน ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีที่มาจาก พระยาพหลพลพยุหเสนา(พจน์ พหลโยธิน), และสนามศุภชลาศัย (หลวงศุภชลาศัย) เป็นต้น นอกจากนี้ ก็มีชื่อจังหวัดพิบูลสงคราม ในครั้งสงครามอินโดจีน ไทยรบกับฝรั่งเศส ดังนั้น จะเห็นได้ว่า บทบาททางการเมือง มีผลต่อการสร้างสัญลักษณ์ คือ อนุสาวรีย์ เป็นอย่างมาก ดังที่ปรากฏการสร้างงานศิลปะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อนุสาวรีย์อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า อื่นๆ

ประเด็นของบทความ มองผ่านศิลปกรรม “อนุสาวรีย์ปรีดี พนมยงค์” จะเห็นภาพลักษณ์ของคณะราษฎรสายพลเรือน ซึ่งการสร้างอนุสาวรีย์ปรีดี ในภายหลังสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ต่างๆ เมื่อหมดอำนาจทางการเมืองในฐานะรัฐบาล และภายหลังอสัญกรรมของปรีดี ก็ตามมาด้วยกระบวนการเรียกร้องต่อสู้ของการมีอนุสาวรีย์ ปรีดี พนมยงค์ ในกระแสความคิดทางการเมือง จึงเกิดปรากฏการณ์ทางการเมืองสืบต่อมา และ อนุสาวรีย์คณะราษฎรสายพลเรือน ดร.ตั้ว ลพานุกรม ซึ่งถูกยกย่องเป็นรัฐบุรุษวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในปีพ.ศ.2550 คือ ศิลปะกับตัวแทนทางวิทยาศาสตร์ ความสำคัญที่นำอนุสาวรีย์ปรีดี กับตั้ว มาศึกษาจะเห็นภาพสะท้อนตรงกันข้ามกันทางความเป็นมาของความหมายทางศิลปะ และกรณีตัวอย่างพูนศุข พนมยงค์ คู่ชีวิตของปรีดี บททดลองนำเสนอ ว่าด้วยอาจจะมีอนุสาวรีย์ทางการเมืองใน มุมมองสตรีนิยม ที่น่าสนใจเช่นใด ในภายหลังอนิจกรรม[*]จนถึงการมองผ่านมาเห็นคุณค่าของอนุสาวรีย์สามัญชนหรือประชาชน

คณะราษฏร ในฐานะผู้นำประเทศ : พระยาพหลพลพยุหเสนา-จอมพล ป. พิบูลสงคราม และปรีดี พนมยงค์ ผู้ร่วมสร้างศิลปกรรม

เมื่อสมาชิกคณะราษฎร มีจำนวนเพิ่มขึ้น หลังจากกลับมายังประเทศสยาม และก็ติดต่อกับกลุ่ม พระยาพหลพลพยุหเสนา และได้เข้ารับราชการในตำแหน่งต่างๆ บุคคลที่ประสานเชื่อมโยงคณะราษฎรจากปารีสกับสายทหารในพระนคร คือ ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี ซึ่งมีความสนิทสนมกับ พ.อ. พระยาพหลพลพยุหเสนา รองจเรทหารบก กับ พ.อ. พระยาทรงสุรเดช เสนาธิการโรงเรียนนายร้อย ซึ่งเป็นนักเรียนเยอรมัน โดยทั้งสองได้มาเรียนภาษาเยอรมันเป็นประจำ ที่บ้านมารดาของ ร.ท. ประยูร ซึ่งเป็นชาวเยอรมัน ทำให้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จนกระทั่งชักชวนเข้าร่วมในคณะราษฎรโดยตำแหน่งของพระยาพหลพลพยุหเสนา ในอดีต คือ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหนึ่งในคณะราษฎรฝ่ายทหารชั้นผู้ใหญ่ เป็น 1 ใน 4 ทหารเสือ ที่ประกอบด้วย ตัวท่าน, พระยาฤทธิ์อัคเนย์, พระยาทรงสุรเดช และ พระประศาสน์พิทยายุทธ ในระหว่างการประชุมวางแผนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น พระยาพหล ฯ ได้เคยมีดำริถึงเรื่องนี้มาก่อนและเปรยว่า ทำอย่างไรให้อำนาจการปกครองอยู่ในมือของคนทั่วไปจริง ๆ ไม่ใช่อยู่ในมือของชนชั้นปกครองแค่ไม่กี่คน และเมื่อคณะราษฎรทั้งหมดยกให้ท่านเป็นหัวหน้า ท่านก็รับตำแหน่งไว้กระนั้น เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อทหารทุกหน่วยมาพร้อมแล้ว พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้เดินออกจากร่มเงาต้นอโศกข้างถนนราชดำเนิน เพื่อแสดงตนเป็นหัวหน้าผู้ก่อการ และทำหน้าที่อ่านประกาศฉบับแรกของคณะราษฏร เป็นต้นนับแต่นั้นมา ด้วยฐานะผู้นำคณะราษฎร จึงได้รับฉายาว่า "เชษฐบุรุษประชาธิปไตย" จากบทบาทที่มีค่อนข้างสูงในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะเป็นผู้นำคณะราษฎรฝ่ายทหารบก และหลังจากที่คำว่าประชาธิปไตยได้ถูกบัญญัติและเผยแพร่ไป มีชาวบ้านบางคนคิดว่า เป็นชื่อของลูกชายของพระยาพหลพลพยุหเสนาด้วยซ้ำ ซึ่งการพิจารณาลำดับการดำรงตำแหน่งของพระยาพหลพลพยุหเสนา ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 1 โดยการทำรัฐประหารรัฐบาลของ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา และ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สลับกับตำแหน่งรัฐมนตรีหลายครั้ง จนถึงวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2481 ยุบสภาและลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างไรก็ตาม เมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนา ยุติบทบาททางการเมืองไป ซึ่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อมา ก็คือ หลวงพิบูลสงคราม (แปลก พิบูลสงคราม) นายทหารรุ่นน้องที่ท่านรักและไว้ใจนั่นเอง ซึ่งสาเหตุเบื้องหลังการปฏิวัตินั้น ก็มีความสนใจโดยนักเขียนอย่าง กุหลาบ สายประดิษฐ์(ศรีบูรพา) ก็เคยสัมภาษณ์พระยาพหลพลพยุหเสนาไว้ หลังจากสมัยที่จอมพล ป.พิบูลสงครามขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยจากสภาพการณ์ทางการเมือง ที่มีสภาวะความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ อย่างมากในการเปลี่ยนแปลงระบอบเก่า และทำให้เกิดภาวะเชื่อผู้นำชาติพ้นภัย ซึ่งสะท้อนให้ประชาชนอยู่ภายใต้โครงสร้างของการเมืองต้องเลือกผู้นำ และประชาชนเดินตาม เท่านั้นดังนั้น ลักษณะของภาวะผู้นำคณะราษฎร คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา ถ้าเรียกแบบภาษาชาวบ้านๆ หน่อย ก็คือ ประสานสิบทิศ หรือ กลางๆ ไว้ก่อน ปลอดภัยกว่ารุกฆาต และจะใช้ธรรมะเป็นแกนกลาง อันเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งมีอิทธิพลต่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม หรือหลวงพิบูลสงคราม ในขณะนั้น รวมทั้งหลวงประดิษฐมนูธรรม หรือ ปรีดี พนมยงค์ ยังเป็นคนหนุ่มอยู่อย่างมาก เกินกว่าจะเป็นผู้นำประเทศในเวลาดังกล่าว และก็เคยมีความคิดเชิงธรรมนิยม เช่น กรรมการธรรมนิยม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกรรมการรัฐนิยม ดังที่มีการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของทั้ง 3 คน ไว้[1] และร่วมกันสร้างแนวทางศิลปะราษฎร[2] หรือศิลปกรรมต่างๆ ในที่กล่าวตอนผู้เขียนเกริ่นนำไปแล้ว แต่ว่า ประเด็นความเป็นมาที่สำคัญจากกลุ่มสายทหาร มีบทบาททางการเมืองอย่างมาก ก่อนสายพลเรือน จะขึ้นมามีอำนาจทางการเมืองอย่างปรีดี ซึ่งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แล้วพลิกกลับมาเป็นบทบาททหารโดยจอมพล ป.-จอมพลสฤษดิ์(มีอนุสาวรีย์ทั้งสองคน) จึงทำให้เกิดความคิดในเวลาต่อมาของกลุ่มนักศึกษา ก่อน 14 ตุลา[3] ซึ่งมองเห็นว่า คณะราษฏร ก็เป็นแค่กลุ่มเผด็จการทหาร หรือในทัศนะของจิตร ภูมิศักดิ์ (ผู้เขียนศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน[4]) ก็มองกลุ่มคณะราษฎรสายทหารคล้ายคลึงแบบเดียวกับนักศึกษาดังกล่าว โดยวาทกรรมทางประวัติศาสตร์ ของความคิด ดังกล่าว สืบทอด เป็นมรดกต่อมา ก่อนจะเกิดอนุสาวรีย์ปรีดี พนมยงค์

กระบวนการต่อสู้เพื่อรื้อฟื้นภาพลักษณ์ปรีดี พนมยงค์ คณะราษฎรสายพลเรือน

จากกรณีสวรรคต ร. 8 หลังจากวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เสด็จสวรรคต นายปรีดีและคณะรัฐมนตรีได้ขอความเห็นชอบต่อสภาว่า ผู้ที่จะขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์ควรได้แก่สมเด็จพระอนุชา เมื่อสภามีมติเห็นชอบแล้ว นายปรีดีก็ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุผลว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงแต่งตั้งตนเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นได้สวรรคตเสียแล้วเหตุการณ์นี้ ทำให้ศัตรูทางการเมืองของท่าน ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มทหารที่สูญเสียอำนาจและพรรคการเมืองฝ่ายค้าน สบโอกาสในการทำลายนายปรีดีทางการเมือง โดยการกระจายข่าวไปตามหนังสือพิมพ์ ร้านกาแฟ และสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งส่งคนไปตะโกนในโรงภาพยนตร์ในกรุงเทพฯ ว่า "ปรีดีฆ่าในหลวง" ซึ่งเป็นคำกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก กลายเป็นกระแสข่าวลือ และนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมดในเดือนพฤศจิกายน อย่างไรก็ตาม มีหนังสือ หรือ ข้อมูลบางที่ ที่บ่งบอกถึง ข้อมูลในเชิงลึกต่างๆที่ กล่าวหาท่านว่าเป็น ผู้วางแผนลอบปลงพระชนม์ แต่ไม่มีการพิสูจน์จนปัจจุบัน ที่ยังเป็นปริศนา และมีผลทำให้ภาพลักษณ์ของปรีดี ซึ่งเคยมีภาพว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ก็ถูกใส่ร้ายป้ายสี กลายเป็นปีศาจทางการเมืองในเวลาต่อมา [5]เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 คณะรัฐประหารซึ่งประกอบด้วย พล.ท. ผิน ชุณหะวัณ พ.อ. กาจ กาจสงคราม พ.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ พ.อ. สฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ.อ. ถนอม กิตติขจร พ.ท. ประภาส จารุเสถียร และ ร.อ. สมบูรณ์ (ชาติชาย) ชุณหะวัณ ได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศ จากรัฐบาลที่มีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากยึดอำนาจสำเร็จ คณะรัฐประหารพยายามจะจับกุมตัวนายปรีดีกับครอบครัว แต่นายปรีดีทราบข่าวก่อนเพียงไม่กี่นาที จึงหนีทัน และได้ลี้ภัยการเมือง ไปยังประเทศสิงคโปร์ สองปีถัดมา ก็ลี้ภัยต่อไปอยู่ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน และหวนกลับมาอีกครั้งในเหตุการณ์กบฏวังหลวง แต่กระทำการไม่สำเร็จ จึงลี้ภัยอีกครั้ง และได้พำนักอยู่ที่นั่นเป็นเวลาถึง 11 ปี ก่อนจะลี้ภัยต่อไปยังประเทศฝรั่งเศส ซึ่งทำให้บทบาทของปรีดี พนมยงค์ แทบจะถูกลบเลือนหายไปจากความทรงจำของคนไทยเลยครั้นต่อมา สถานการณ์ทางการเมือง ก่อน 14 ตุลา มีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มวลัชทัศน์ เชียงใหม่ และกลุ่มนักศึกษาต่างๆ อิทธิพลของความคิด ที่มีสังคมศาสตร์ปริทัศน์ ผู้นำโดย ส.ศิวรักษ์ กลับมาฟื้นภาพลักษณ์ กับปรีดี พนมยงค์ มากขึ้น เป็นต้น จะมีบ้างที่กลับมาเห็นบทบาทของปรีดี พนมยงค์อีกครั้ง เป็นบางช่วงเวลา เช่น จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน 14 ตุลาคม โดย...ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นการเขียนบทความ มาจากว่าด้วยคณะกรรมการจัดงานสังสรรค์ชาวธรรมศาสตร์ในสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ประจำปี 2516 ปรารถนาได้บทความหรือคำขวัญของข้าพเจ้าไปลงพิมพ์ในหนังสือที่ระลึกซึ่งจะจัดทำขึ้น ข้าพเจ้า ยินดีสนองศรัทธาโดยให้คำขวัญว่า “จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน 14 ตุลาคม” เมื่อกระแสของเหตุการณ์ 14 ตุลา ผ่านไป หลังจากนั้น ก็มีนักวิชาการอย่าง ชัยอนันต์ สมุทวณิช ผู้เขียนหนังสือโต้ท่านปรีดี [6]เหตุการณ์ในอดีต มีที่มา อาจารย์ชัยอนันต์ เป็นกำลังสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2517 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นประชาธิปไตยสูงฉบับหนึ่ง ในช่วงที่มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้นี่เอง อาจารย์ชัยอนันต์มีโอกาสทำงานใกล้ชิด ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้เป็นประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนั้น เมื่อมีการยกย่องรัฐธรรมนูญฉบับปี 2517 เปรียบเทียบกับฉบับปี 2489 อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เขียนวิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ 2517 จึงเกิดการโต้แย้งกันนั่นเอง และก็เริ่มเห็นถึงอิทธิพลทางวิชาการของปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเริ่มก่อกระแสภาพลักษณ์ประชาธิปไตย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาในทัศนะของผู้เขียนเนื่องมาจาก ปรีดี ถูกทำให้ถึงขั้นกลายเป็นบุคคลที่ไม่มีตัวตนทางประวัติศาสตร์ แม้แต่กรณีสำคัญๆอย่าง 2475 หรือ เสรีไทย เมื่อมีการกล่าวถึง ก็มีการพยายามหลีกเลี่ยงการกล่าวชื่อปรีดี ซึ่งนับเป็นเรื่องอยุติธรรมอย่างมหาศาล แต่ในระยะสองทศวรรษที่ผ่านมา ความอยุติธรรมนี้ได้รับการแก้ไข[7] จนถึงช่วงที่การเมืองเปลี่ยนผ่านนี้เอง จะเห็นตัวตนของปรีดี พนมยงค์ ผ่านการแก้ไขภาพลักษณ์ปิศาจทางการเมือง เช่น การต่อสู้คดีความเรื่องกรณีสวรรคต ร.8 [8] เป็นต้นดังนั้น ความสำคัญของการโต้วาทกรรมเรื่อง กรณีสวรรคต ร.8 จึงมีคนทำหน้าที่ผลิตหนังสือ โดยสุพจน์ ด่านตระกูล ผลิตวาทกรรมโต้ตอบคดีดังกล่าว ก็มีเรื่องผ่านทางศาสนา กรณีตัวนายตี๋ ศรีสุวรรณ ยังได้ไปสารภาพบาปกับท่านปัญญานันทภิกขุ แห่งวัดชลประทาน อ.ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี(หลวงพ่อปัญญา อดีตเจ้าอาวาสวัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรม จังหวัดเชียงใหม่)เมื่อปี พ.ศ. 2522 ขณะที่ตัวนายตี๋ ศรีสุวรรณ เองอายุได้ 102 ปี ว่าไปเป็นพยานเท็จในคดีสวรรคตทำให้ผู้บริสุทธิ์ 3 คน ต้องถูกประหารชีวิต[9] …เป็นต้น และต่อมาปรีดีถึงแก่อสัญกรรม ท่านปัญญานันทภิกขุ ก็เป็นประธานพิธีฌาปนกิจศพรัฐบุรุษอาวุโสของไทย อย่างเรียบง่ายตามเจตนารมณ์ของผู้วายชนม์ ณ บริเวณสุสาน Pere Lachaise[10] และในเวลาต่อมากระบวนการต่อสู้เพื่อรื้อฟื้นความหมายเพื่ออนุสาวรีย์ปรีดี ก็เกิดขึ้น

“ศิลปกรรม” อนุสาวรีย์ ปรีดี พนมยงค์-ตั้ว ลพานุกรม

พลังปัญญาชน ซึ่งผลักดันภาพลักษณ์ปรีดี พนมยงค์ ตั้งแต่ส.ศิวรักษ์ คนอื่นๆ เสนอโครงการปรีดี พนมยงค์กับสังคมไทย จนถึง ชาญวิทย์ เกษตรศิริ คนอื่นๆ เสนอโครงการเขียนประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์ เป็นต้น จะแสดงให้เห็นดัง ตัวอย่าง เช่น งานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ปี พ.ศ. 2526 ชาวธรรมศาสตร์ได้ขึ้นภาพแปรอักษรเพื่อระลึกถึงนายปรีดีความว่า"พ่อสร้างชาติด้วยสมองและสองแขน พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี พ่อของข้านามระบือชื่อปรีดี แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ" และต่อมามีการตอบจดหมายถึงประธานและกรรมการเชียร์ฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์ ว่า “ผมจึงขอขอบคุณ ท่านทั้งหลาย และนักศึกษาธรรมศาสตร์ ที่มีความปรารถนาดี แสดงรูปภาพ ประกอบด้วยคำขวัญเพื่อระลึกถึงผม” ซึ่งต่อมาเสียงของการรณรงค์ และการต่อสู้เรียกร้องของปัญญาชน หลังอสัญกรรมของปรีดี ว่า “ควรให้เจ้าภาพจัดพิธีรัฐ และเป็นผู้ริเริ่มเรื่องเงินบริจาค…ทางส่วนของฝ่ายต่างๆ ที่ร่วมกันดำเนินการเพื่อเผยแพร่ผลงานของท่าน และรณรงค์หาเงินทุนมาสร้างอนุสาวรีย์ต่อไป” แต่คำตอบของรัฐยังคงเหมือนเดิม และไม่สนใจที่จะดำเนินการเกี่ยวกับงานศพให้เป็นรัฐพิธีแต่อย่างใด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ต้องรับเป็นศูนย์กลางจัดสร้างอนุสาวรีย์ ซึ่งเริ่มสร้างอนุสาวรีย์ 2 พฤษภาคม 2526 เป็นต้นมาดังนั้น ความทรงจำร่วมของสังคมที่ได้รับการสร้างขึ้น โดยรัฐไทย มีแนวโน้มละเลยความสำคัญของประชาชน ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของผู้สร้างประวัติศาสตร์สังคมการเมือง นอกจากนี้ในการสร้างความทรงจำร่วมอื่นๆ รัฐไทยยังยินดีสร้างสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น เดือนกุมภาพันธ์ 2525 รัฐบาลพลเอก เปรม ได้อนุมัติ หลักการให้สร้างอนุสรณ์สถานวีรชนแห่งชาติเพื่อเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทหารของกองทัพบก รวมทั้งเพื่อบรรจุอัฐิบรรดาวีรชนผู้พลีชีวิตเพื่อชาติ และก็มีการสร้างอนุสาวรีย์ จอมพล ป.พิบูลสงคราม คณะราษฎรสายทหาร ด้วยเหตุผลว่าจอมพล ป. เป็นนายทหารปืนใหญ่คนหนึ่ง ที่ได้สร้างคุณงามความดีและคุณประโยชน์ให้กับเหล่าทหารปืนใหญ่และประเทศไทยไว้อเนกประการ ด้วยความเป็นที่นิยมของชาวไทย ในสมัยที่จอมพล ป. มีชีวิตอยู่ ประชาชนได้ยอมรับการเป็นผู้นำของเขา ให้พ้นภัยจากวิกฤติการณ์ โดยการที่จอมพล ป. ได้เป็นนายกรัฐมนตรีถึง 8 สมัยที่มาของอนุสาวรีย์แห่งนี้คือ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2522 พลตรี อัมพร สมบูรณ์ยิ่ง ผู้บัญชาการ ศูนย์การทหารปืนใหญ่ในขณะนั้น ได้ขึ้นไปบนตึกพิบูลสงคราม เพื่อตรวจเยี่ยมสถานที่ พลตรี อัมพร ได้พบรูปปั้นของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ขนาดเท่าตัวจริงที่ชั้นที่ 3 จึงได้ปรารภถึงคุณความดีของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ในฐานะเป็นผู้นำ ชาติให้พ้นภัยนำชาติบ้านเมืองมาสู่ความเจริญ และจอมพล ป. เป็นผู้หนึ่งที่มีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาเป็นระบอบประชาธิปไตย และยังเทอดทูนสถาบันชาติ, ศาสนาและพระมหากษัตริย์ตลอดมา จึงคิดที่จะสร้างอนุสาวรีย์ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ขึ้น ณ บริเวณหน้าประตูค่ายพหลโยธิน ด้านทิศใต้ โดยให้กรมศิลปากร เป็นผู้ออกแบบก่อสร้างเริ่มก่อสร้างเมื่อปี 2523 เสร็จสิ้นสมบูรณ์(ปีเดียวกับเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว หน้ารัฐสภา) เมื่อ วันที่ 1 กรกฎาคม 2525 งบประมาณก่อสร้างประมาณ400,000 บาท ได้รับการอนุเคราะห์จาก ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม[11] และทายาท, มูลนิธิ จอมพล ป.พิบูลสงครามและท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม และงบบริจาคอื่นๆ และเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2525 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ได้กรุณาให้เกียรติไปเป็นประธานในพิธีเปิดอนุสาวรีย์แห่งนี้[12] แต่การสร้างอนุสาวรีย์วีรชน 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งได้รับการเมินเฉยมาตั้งแต่รัฐบาลนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ก็ยังได้รับการละเลยจากรัฐบาลพลเอกเปรมอีกเช่นกัน[13] ซึ่งสะท้อนปัญหาของการละเลยประวัติศาสตร์ศิลปะเพื่อประชาชนอย่างชัดเจนเมื่อนายปรีดี ถึงอสัญกรรม เปิดโอกาสให้นักศึกษา ปัญญาชน และกลุ่มเสรีนิยม แสดงความเคลื่อนไหวเพื่อให้รัฐไทยแบ่งเนื้อที่ความทรงจำร่วมทางสังคมให้กับสามัญชน ในฐานะผู้สร้างประวัติศาสตร์ และอนุสาวรีย์ปรีดี พนมยงค์ ขนาดเท่าตัวจริง สวมชุดครุยในฐานะผู้ประศาสน์มหาวิทยาลัย โดยมีฐานรองรับสื่อเล่าประวัติความเป็นมาของปรีดี พนมยงค์ ก็อยู่ที่หน้าตึกโดมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 11 พฤษภาคม 2527 เปิดอนุสาวรีย์ โดยมีพูนศุข และครอบครัวพนมยงค์ ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกไว้ ด้วยความสนใจศึกษาอนุสาวรีย์ ปรีดี และศิลปกรรม โดยมองผ่านวาทกรรม(Discourse) มีการศึกษามาแล้ว อาทิเช่น การเมืองในอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และมีหลายแนวทางศึกษาอนุสาวรีย์ในไทยด้วย[14]เนื่องจากผู้เขียน ต้องการขยายความการศึกษาต่อมาจากปรีดี พนมยงค์ กับภาพยนตร์เรื่องพระเจ้าช้างเผือก[15] ซึ่งผู้เขียนได้ทำการศึกษาไว้แล้ว จึงเห็นภาพอนุสาวรีย์ และอ่านหนังสือที่มาของภาพลักษณ์ปรีดี พนมยงค์กับการเมืองไทย พ.ศ. 2475-2526 เป็นแนวทางการศึกษาน่าสนใจมาก ดังที่มีการนำเสนอตอนจบของหนังสือดังกล่าวว่า ช่วงหลังพฤษภา 2535 เป็นต้นมา นักการเมืองถึงกับยอมรับภาพลักษณ์ของปรีดี โดยใช้เป็นเครื่องมือหาเสียงเลือกตั้งแก่พรรคทางการเมืองในขณะนั้น ซึ่งต่อมา พ.ศ. 2543 ยูเนสโก ได้ประกาศบรรจุชื่อของท่านไว้ใน ปฏิทินบุคคลสำคัญของโลกแม้ว่าความสำคัญของปรีดี จะเพิ่มมากขึ้น จากระดับชาติสู่ระดับโลก แต่การต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ก็ยังไม่จบ เพราะว่า เมื่อปีพ.ศ.2545 ความขัดแย้งเรื่องให้กลับมาใช้ชื่อถนนเดิมของถนนประดิษฐ์มนูธรรมโดยมีการเปลี่ยนชื่อถนนประดิษฐมนูธรรม (หรือถนนปรีดี) เป็นถนนประเสริฐมนูกิจ ในยุคสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพฯกระนั้น ว่าด้วยโจทย์สำคัญของผู้เขียน คือ อธิบายความหมายของอนุสาวรีย์ โดยมองศิลปกรรม และวิเคราะห์วาทกรรม(Discourse ซึ่งถูกทำให้เป็นไทยๆแบบพุทธ) ซึ่งนิยามคำว่า ศิลปะ+กรรม=ศิลปกรรม โดยแยกแยะคำว่า ศิลปะออกจากคำว่า กรรม ซึ่ง “กรรม” คือความหมายของการกระทำ จึงเป็นผลให้สร้างสรรค์งานศิลปะ และวาทกรรมทางการเมือง ที่เราจะสร้างได้ผ่านภาษากับสัญลักษณ์ทางศิลปะ เป็นเครื่องมือสื่อสารความคิด โดยตัวอย่างโทรศัพท์มือถือ ใช้สื่อสารกันได้ ถ้ากล่าวโดยอุปมาว่า เราจะจับปลา ก็ต้องใช้เครื่องมือจับปลา เพื่อให้ได้ปลาดังนั้น การนำเอาแนวคิดวาทกรรม (Discourse) ซึ่งนำมาใช้เป็นวิธีวิทยาในการศึกษาอนุสาวรีย์ และคำศัพท์ว่า Deconstruction หรือ รื้อสร้าง เป็นศัพท์ฮิตร่วมสมัย ยกมาจับความรู้ทางศิลปะ และวิเคราะห์อนุสาวรีย์ จะเห็นถึงที่มีรากฐานทางศิลปะ การต่อสู้ ดังกล่าวของอนุสาวรีย์ปรีดี ในฐานะคณะราษฎร สายพลเรือน จะเรียกว่าสามัญชนขึ้นเป็นชนชั้นนำก็ได้ แตกต่างกับอนุสาวรีย์จอมพล ป. คณะราษฎรสายทหาร เพราะว่าอิทธิพลของนักศึกษา ปัญญาชน ประชาชน ผ่านกระบวนการต่อสู้เรียกร้องในการสร้างความหมายให้แก่ที่มาและความสำคัญของอนุสาวรีย์ปรีดี ซึ่งทำให้อนุสาวรีย์เป็นเครื่องมือทางศิลปะ มีพลังอำนาจคงอยู่กับเรา และ ผู้เขียนจะยกตัวอย่าง กรณีอนุสาวรีย์ ดร.ตั้ว ให้เห็นภาพตรงกันข้ามอนุสาวรีย์

ดร.ตั้ว ลพานุกรม คณะราษฏรสายพลเรือน :" รัฐบุรุษวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี "
ประวัติความเป็นมา ตั้ว ลพานุกรม เกิด 21 ตุลาคม พ.ศ.2411 กรุงเทพฯ เสียชีวิต 27 สิงหาคม พ.ศ.2484 ท่านเป็นบุตรคนที่ 3 ของนายเจริญและนางเพียร ลพานุกรม การศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนเทพศิรินทร์และโรงเรียนราชวิทยาลัย หลังจากนั้นได้ไปต่อวิชาสามัญในโรงเรียนที่เมือง บัลเกนแบร์ก ประเทศเยอรมนี แต่ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น เยอรมนีอยู่ฝ่ายอักษะจึงทำให้ไทยกับเยอรมนีต้องประกาศสงครามกันและ ดร.ตั้วก็เลยถูกส่งตัวไปเป็นเชลยศึก ช่วงนี้ท่านได้ศึกษาวิชาการต่าง ๆ เช่น ภาษาฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ จึงสามารถทำหน้าที่เป็นล่ามให้กับฝ่ายทหารได้ก่อนหน้านี้ท่านเคยศึกษาวิชาเคมีที่มหาวิทยาลัยกรุงเบิร์น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ จนได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต เกียรตินิยมในสาขาเคมี ในปี พ.ศ.2471 ได้เข้าร่วมกับคณะราษฎรในกรุงปารีสในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย และท่านยังได้ศึกษาวิชาเภสัชกรรมศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยมิวนิค และสาขาวิชาพฤกษศาสตร์ มหาวิทยาลัยปารีส ประเทศฝรั่งเศส และได้ดูงานด้านวิทยาศาสตร์ งานวิจัย อุตสาหกรรม ประเทศอเมริกาและญี่ปุ่น จึงกลับสู่เมืองไทยในปี พ.ศ.2473 กลับมาเมืองไทยเพื่อรับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยแยกธาตุ 2 ต่อมาเปลี่ยนชื่อ เป็นกรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯในปัจจุบัน ซึ่งทำหน้าที่ในการตรวจวิเคราะห์ ยาพิษโลหะสำหรับโรงกษาปณ์ เภสัชวัตถุ เงินปลอม ฝิ่น แร่และธาตุ ซึ่งทั้งหมด จะเป็นนักเคมี ขณะนั้นมีอยู่เพียง 7 คน ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดร.ตั้วได้เลื่อนขั้นเป็น อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์ฯ คนแรก ท่านได้ขยายงานออกไป รวมทั้งบุคลากรและสถานที่และด้านการทำงานท่านได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับพืชสวนทางการเกษตร เช่น ด้านพืชสวนทางการเกษตร วิจัยน้ำมันสน น้ำมันหมู สำรวจดิน ส่งเสริมกิจการถั่วเหลือง กำหนดมาตรฐานอาหารและยังได้ก่อตั้งกองเภสัชกรรมและโรงงานอุตสาหกรรมในปี พ.ศ.2482 ซึ่งก็คือ องค์การเภสัชกรรม กระทรวงสาธารณสุขในปัจจุบันกล่าวคือ ดร.ตั้ว ลพานุกรม เป็นบุคคลที่มีผลงานดีเยี่ยม เป็นรัฐบุรุษผู้บุกเบิกพัฒนาสร้างสรรค์และส่งเสริมบำรุงวิทยาศาสตร์ของชาติให้รุ่งเรือง ชาติจะเจริญต้องมีวิทยาศาสตร์เป็นหลัก ต้องพัฒนาควบคู่ไปกับการจัดการอุตสาหกรรม ท่านได้วางรากฐานการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์เป็นคนแรกของไทยจึงสมควรได้รับการยกย่องให้เป็น รัฐบุรุษวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพราะตลอด 43 ปีของการทำงาน ท่านเป็นผู้มีความรู้หลายด้าน เช่น ภาษา การเมือง การปกครอง ฯลฯ และในการประชุมคณะกรรมการเรื่องจัดสร้างอนุสาวรีย์ ก็รับทราบข้อหารือจากสำนักพระราชวังที่ว่า สามารถสร้างอนุสาวรีย์ ณ กรมวิทยาศาสตร์บริการได้ โดยไม่สร้างอนุสาวรีย์ให้มีความสูงในระดับใกล้เคียง หรือสูงกว่าพระราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หน้ากระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และลักษณะอนุสาวรีย์ ดร. ตั้ว แต่งตัวสวมสูท ผูกเนคไท คือ ประติมากรรมแบบลอยตัว(ครึ่งตัว)ขนาดเท่าคนปกติ ต่อมาพิธีเปิดอนุสาวรีย์ ดร. ตั้ว ลพานุกรม ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2550 เป็นต้นมา แต่ว่าเรื่องที่ย้อนแย้ง กับอนุสาวรีย์รํฐบุรุษวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะมีพวกไปขอหวยหรือไม่ เพราะมีเรื่องหวย โดย เลขที่ได้มาจากเลขเด็ดของ ดร.ตั้ว ลพานุกรม ผู้ก่อตั้งองค์การเภสัชกรรม“….นักเลงหวยจ๋อยสนิทเมื่อหวยงวดนี้เลขท้าย 3 ตัวบนออกเลขเบิ้ลอีกครั้ง ขณะที่แฟนหวย ดร.ตั้ว องค์การเภสัชกรรม ก็ซึมเศร้าไปตามๆกัน เมื่อเลขเด็ดที่ได้จาก ดร.ตั้วทิ้งห่างไม่เห็นฝุ่น กับเลขที่ออกมา …” และ“….สำหรับเลขยอดนิยมที่ประชาชนแห่แทงหวยบนดินกันมากในงวดวันที่ 16 มี.ค.(2547) ซึ่งเป็นเลขที่ได้มาจากเลขเด็ดของ ดร.ตั้ว ลพานุกรม ผู้ก่อตั้งองค์การเภสัชกรรม[16] ….”ดังนั้น ศิลปกรรมของอนุสาวรีย์ ดร. ตั้ว ลพานุกรม รัฐบุรุษวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี น่าสนใจว่า กรรม หรือการกระทำการสร้างความหมายให้แก่ศิลปะชิ้นนี้ จะเป็นตัวแทนความรู้ ความจริง อำนาจของวิทยาศาสตร์โดยผ่านอนุสาวรีย์ รัฐบุรุษวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือในทางตรงกันข้าม ผลงานทางศิลปะประติมากรรม และความเชื่อ ผสมปนเป ย้อนแย้งกันไปเพราะ สภาวะผิดปกติ กับความคิดทางวิทยาศาสตร์ กลับถูกทำให้กลายเป็นสภาวะปกติได้ โดยตามข้อสังเกตเกี่ยวกับว่า ที่มาของตัวเลขหวยเด็ดๆ ขึ้นมา และอนุสาวรีย์ ดร.ตั้ว อาจจะสะท้อนผู้รับสารต่ออนุสาวรีย์ ให้เห็นวิธีคิดของประชาชน นักเลงหวย ชาวบ้านในอนาคต.เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะ ก็จะต้องอ้างอิงบริบทของประวัติศาสตร์ พงศาวดาร เอกสาร และหลักฐานทางศิลปะ ต่างๆ ซึ่งนำมาสู่พื้นฐานของการอธิบาย ว่าด้วยบททดลองนำเสนอ ว่าด้วยอนุสาวรีย์ในมุมมองสตรีนิยม กรณีท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยาปรีดี คณะราษฎร สายพลเรือน โดยการเกิดขึ้นของอนุสาวรีย์ พูนศุข พนมยงค์ สืบต่อภาพสะท้อนว่าด้วยคำสั่งการจัดพิธีไว้อาลัย การจัดพิธีไว้อาลัยเป็นไปตามคำสั่งเสียทุกประการ ซึ่งท่านผู้หญิงพูนศุข ได้เขียน "คำสั่ง" กำชับ ด้วยลายมือตนเอง[17] จะมีความน่าจะเป็นไปได้ ในการต่อสู้เพื่อให้เกิดอนุสาวรีย์ขึ้นในอนาคตอย่างไรก็ตาม การช่วงชิงความหมายของศิลปะ ตั้งแต่ยุคจิตร ภูมิศักดิ์ เสนอศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน ซึ่งเขาเสียชีวิต ในปีพ.ศ.2505 และต่อมากว่าจะมีคนสร้างอนุสาวรีย์ให้แก่จิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งถ้าเรามองว่า อนุสาวรีย์ปรีดี-ตั้ว และพูนศุข ถือว่าเป็นชนชั้นนำ หรือสามัญชน ก็ได้ โดยเราก็มีการสร้างศิลปกรรม คือ อนุสาวรีย์เพื่อสามัญชน เช่น อนุสาวรีย์ สืบ นาคะเสถียร เจริญ วัดอักษร[18] ฯลฯ เป็นต้นดังนั้น การสร้างอนุสาวรีย์ช่วยให้คนจดจำได้ ถ้าจะสร้างอนุสาวรีย์แท็กซี่ กับรถถัง ยกตัวอย่างกรณีลุงนวมทอง ไพรวัลย์ คนขับแท็กซี่ ในปี2549 ก่อนถูกลืมเลือน เมื่อจะมีการสร้างอนุสาวรีย์เพื่อให้รับรู้ทางศิลปะ และการสร้างสรรค์ให้แก่ความรู้ในทางศิลปะ โดยการสร้างอนุสาวรีย์ จะให้มีพลัง และอำนาจของศิลปกรรม ก็ต้องมาจากการต่อสู้เรียกร้องทางการเมืองด้วย


*บทความแก้ไข และปรับปรุงเพิ่มเติมของผู้เขียน จากการเสวนา: ศิลปะกับการเมือง : มุมมองว่าด้วย รสนิยม ชนชั้น ประวัติศาสตร์ และการตีความ เวลา/สถานที่ 13.00 – 15.00 น. วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม 2551 ณ ร้านเล่า ถนนนิมมานเหมินทร์ จังหวัดเชียงใหม่ โดยองค์กรร่วมจัด ปรส.- ประชาไท-โลคัลทอล์ค

1.ดู นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ความคิด ความรู้และอำนาจการเมืองในการปฏิวัติสยาม 2475

2.ดู ชาตรี ประกิตนนทการ การเมืองและสังคมในศิลปสถาปัตยกรรม: สยามสมัย ไทยประยุกต์ ชาตินิยม และดูคำนิยามของชาตรี ว่าศิลปะคณะราษฎร ในวารสาร ฟ้าเดียวกัน และที่เรียกว่า ศิลปกรรม โปรดดูหนังสือเพิ่มเติม “ศิลปกรรมหลัง พ.ศ. 2475”

3.ดู ประจักษ์ ก้องกีรติ 24 มิถุนา ในขบวนการ 14 ตุลาฯ:การเมืองและอำนาจของประวัติศาสตร์ ใน ชาญวิทย์ เกษตรศิริ บรรณาธิการ สู่ทศวรรษที่ 7 ปฏิวัติ 2475 สถาปนา มธก. 2477 ธรรมศาสตร์และการเมืองเรื่องพื้นที่ = Thammasat University and the space of politics in Thailand 1932-2004

4.จิตร ภูมิศักดิ์ มองว่าเป็นขุนศึกศักดินา ซึ่งการนำเสนอ “ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน” คือ ต้นธารความคิดของดนตรี วรรณกรรม ศิลปะ มีอิทธิพลต่อมายุค 14 ตุลา 2516 และ เคร็ก เจ. เรย์โนลดส์ เขียน ; อัญชลี สุสายัณห์, แปล ความคิดแหวกแนวของไทย : จิตร ภูมิศักดิ์และโฉมหน้าของศักดินาไทยในปัจจุบัน และ อรรคพล สาตุ้ม “หลังสมัยจิตร ภูมิศักดิ์ การช่วงชิงคำนิยาม ศิลปะ ใน จุลสาร Small ฉบับที่ 6(ฉบับพิเศษ) ประจำเดือนตุลาคม 2547

5.ข้อมูลหลัก และแนวทางการศึกษาอนุสาวรีย์ปรีดี ผู้เขียนนำบางส่วนมาจาก มรกต เจวจินดา ภาพลักษณ์ปรีดี พนมยงค์ กับการเมืองไทย พ.ศ. 2475 - 2526 = The Images of Pridi Banomyong and Thai politics, 1932-1983

6.ผู้เขียน บทความเรื่อง สัตว์การเมือง ร่วมกับคนอื่นๆ ในปีพ.ศ. 2514 ดูเพิ่มเติมความคิดเห็นต่อหนังสือเล่มนี้ โดยสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง : รวมบทความเกี่ยวกับกรณี 14 ตุลา และ 6 ตุลา และดูเพิ่มเติมเรื่อง ชัยอนันต์ สมุทวณิช กับการปฏิรูปการเมืองไทย(ตอนที่หนึ่ง)ที่มา http://www2.hawaii.edu/~porntawe/thaiarticles/rangsun01/2547_02_25.html

7.ดูเพิ่มเติม สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล “สมัคร สุนทรเวช กับถนนปรีดี”http://www.sameskybooks.org/board/index.php?showtopic=7548&pid=63954&mode=threaded&show=&st=& และ http://board.dserver.org/t/thaibuild/00004281.html

8.ดู สุพจน์ ด่านตระกูล ความจริงที่หายไปจากหนังสือเกี่ยวกับกรณีสวรรคต ร.๘ ออกใหม่ ๓ เล่ม เป็นต้น

9.เพิ่งอ้าง สุพจน์ ด่านตระกูล และที่มาอีกแหล่งhttp://www.sameskybooks.org/board/index.php?showtopic=2353&mode=threaded&pid=10200 และคำไว้อาลัยของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์, จากหนังสืองานศพคุณชูเชื้อ(วลี)สิงหเสนีhttp://www.sameskybooks.org/board/index.php?s=ae48b2afa7ede424a5320bdd43125eb5&showtopic=8743&st=0&p=79158&#entry79158

10.ดุษฎี พนมยงค์ เล่าเรื่องความสัมพันธ์ 'ปัญญานันทภิกขุ-ปรีดี พนมยงค์' http://www.matichon.co.th/news/news_detail.php?id=8623 และที่มาของข้อมูลตามตาราง พัชรินทร์ สิรสุนทร เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชา ปรัชญาชีวิต : หัวข้อการบรรยาย ปรัชญาชาวบ้าน http://www.social.nu.ac.th/learn_more/lift/01.doc

11.ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ได้ช่วยเหลือกิจการงานของจอมพล ป. เป็นผู้บุกเบิกงานด้านสังคมสงเคราะห์ และงานพัฒนากิจการสตรีไทย เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง สภาสตรีแห่งชาติ เมื่อ พ.ศ. 2497 ริเริ่มจัดตั้งโรงพยาบาลสงเคราะห์หญิงมีครรภ์และบุตร ปัจจุบันคือ โรงพยาบาลราชวิถี

12.ข้อมูลการศึกษาเบื้องต้น ที่มา http://www.geocities.com/artillcent_rta/artill/monument1.htm%20อนุสาวรีย์%20จอมพล%20ป.พิบูลสงคราม และหนังสือข้อมูลน่าสนใจ บันทึกการสัมมนา จอมพล ป.พิบูลสงคราม กับการเมืองไทยสมัยใหม่ เป็นต้น

13.อ้างแล้ว มรกต เจวจินดา โดยผู้เขียนใช้เป็นข้อมูลหลัก

14.สายพิณ แก้วงามประเสริฐ การเมืองในอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี และ มานิตย์ นวลละออ การเมืองไทยยุคสัญลักษณรัฐไทย และชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ความเงียบของอนุสาวรีย์ลูกปืน : ดุซงญอ-นราธิวาส,๒๔๙๑ และพิบูลย์ หัตถกิจโกศล อนุสาวรีย์ไทย:การศึกษาในเชิงการเมือง และนิธิ เอียวศรีวงศ์ ชาติไทย เมืองไทย แบบเรียนและอนุสาวรีย์ และ มาลินี คุ้มสุภา นัยทางการเมืองของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในสังคมไทย(หรือ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยกับความหมายที่มองไม่เห็น) และเครก เจ เรย์โนลด์ ปูชนีย์แห่งอัตลักษณ์ ในฐานะแหล่งชุมนุมประท้วง : เปรียบเทียบพม่ากับไทย วารุณี โอสถารมย์ (แปล) จุลสารไทยคดีศึกษา และ Thongchai Winichakul “Thai Democracy in Public Memory : Monuments of Democracy an their Narrative และThak Chaloemtiarana Towards a More Incusive National Narrative : Thai History and the chiness : Isan and the Nation State และ อรรคพล สาตุ้ม ปรัชญาประวัติศาสตร์ศิลปะแบบชาตินิยม “ปราสาทเขาพระวิหาร-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” http://www.prachatai.com/05web/th/home/12834เป็นต้น

15.อรรคพล สาตุ้ม ย้อนดูภาพยนตร์ ‘พระเจ้าช้างเผือก’: สงคราม สันติภาพ และชาตินิยม” (ตอนที่1- 3) http://www.prachatai.com/05web/th/home/10753

16.ที่มา http://61.19.46.190/school/main1/science/thour.html และแจ็กพอตหวยเริ่มงวด1เม.ย. (2547) http://www.deedeejang.com/news/news/00177.html และที่มาของอนุสาวรีย์ ดร.ตั้ว ลพานุกร http://lib3.dss.go.th/fulltext/dss_j/2550_55_173_P1_2.pd

f17.ที่มา http://th.wikipedia.org/ พูนศุข พนมยงค์ และดู อรรคพล สาตุ้ม อ้างแล้ว เรื่องบทบาททางการเมือง ช่วยเหลือเสรีไทย ถอดรหัสข้อความ เป็นต้น

18.ดูข้อมูลเพิ่มเติม อนุสาวรีย์จิตร ภูมิศักดิ์www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=printpage&artid=581 และth.wikipedia.org/wiki/สืบ_นาคะเสถียร และอนุสาวรีย์ เจริญ วัดอักษร th.wikipedia.org/wiki/เจริญ_วัดอักษร http://www.midnightuniv.org/midnight2544/0009999636.html และอนุสรณ์สถาน ผาจิ เป็นสัญลักษณ์รวมกลุ่ม พคท. คือนักศึกษา ชาติพันธุ์ม้ง ชาวนา เปิดปี 2549 และส่วนที่เชียงใหม่ : มีการเสนอสร้างอนุสาวรีย์ จรัล มโนเพ็ชร เป็นต้น และข้อมูล th.wikipedia.org/wiki/นวมทอง_ไพรวัลย์