วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554

เกร็ดเรื่อง “วันกองทัพไทย” และ .. สู่อนาคต “ทหารไทยนี้รักสงบ”

เกร็ดเรื่อง “วันกองทัพไทย” และ .. สู่อนาคต “ทหารไทยนี้รักสงบ”
Wed, 2011-01-19 18:46

อรรคพล สาตุ้ม


เนื่องจากวันกองทัพไทย [*] นั้นมีความสลับซับซ้อนกับความสัมพันธ์เชิงประวัติศาสตร์ไม่น้อย จากวันที่ 28 กรกฎาคม 2484 อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ชัยชนะในสงครามอินโดจีน [1] และต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงมาเป็นวันที่ 25 มกราคม ที่เชื่อมโยงกับวันยุทธหัตถีของพระนเรศวร ต่อมาในสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ในปี พ.ศ.2502 กระทรวงกลาโหมเห็นสมควรรวมวันที่ระลึกถึงกองทัพบก,กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ มาเป็นวันเดียวกัน คือ วันที่ระลึกกระทรวงกลาโหม ในวันที่ 8 เมษายน และให้เรียกว่า “วันกองทัพไทย”

จนกระทั่งต่อมาก็กลับมาใช้วันที่ 25 มกราคม เป็นวันกองทัพไทยอีกครั้งในสมัยพลเอกเปรม จากนั้นสมัยของรัฐบาลทักษิณ(22 สิงหาคม 2549) ก็มาเปลี่ยนมาเป็นวันที่ 18 มกราคม ผู้เขียนเห็นว่า การเมืองทำหน้าที่เชื่อมโยงวีรกรรมของพระนเรศวรในอดีตนั้นเอง แตกต่างจากวีรกรรมของชนชั้น ในคนธรรมดา สามัญ ซึ่งเราสามารถเข้าใจประเด็นชนชั้นจากวันดังกล่าว มาสู่ประเด็นทางการเมืองช่วง เปลี่ยนผ่านโครงสร้าง ความเชื่อ อุดมการณ์ ลัทธิทหารนิยม และสภาพแวดล้อมของกองทัพ ที่เหมือนมีบ้าน พ่อ แม่ พี่น้อง แล้วทหารเป็นคนดูแลรั้วบ้าน


ก่อนและหลัง 24 มิถุนา 2475 ถึงกองทัพภายใต้อิทธิพลอเมริกา

ยุคสมัยที่ทหารเปลี่ยนรากฐานจากการเป็นกองทัพของราชา จากเมื่อก่อนใช้โครงสร้างกองทัพจากอินเดียตามความเชื่อและอุดมการณ์ดังกล่าว เปลี่ยนมาเป็นแบบยุโรป ในสมัย ร.5 สู่การปรับโครงสร้างของกองทัพเป็นแบบอเมริกาหลัง 2475 ในสมัยการสร้างชาติ และกองทัพ ของจอมพล ป. โดยปี พ.ศ. 2482 "ประเทศสยาม" ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ประเทศไทย" รัฐบาลจึงได้จัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติไทยใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไขยังคงใช้ทำนองของพระเจนดุริยางค์อยู่เช่นเดิม แต่กำหนดให้มีเนื้อร้องความยาวเพียง 8 วรรคเท่านั้น และปรากฏคำว่า "ไทย" ซึ่งเป็นชื่อประเทศอยู่ในเพลงด้วย ผลการประกวดปรากฏว่าเนื้อร้องของพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ ซึ่งส่งประกวดในนามกองทัพบกได้รับรางวัลชนะเลิศ รัฐบาลไทยจึงได้ประกาศรับรองให้ใช้เป็นเนื้อร้องเพลงชาติไทย โดยแก้ไขคำร้องจากต้นฉบับที่ส่งประกวดเล็กน้อย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 และใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

จากนั้นนับตั้งแต่การเมืองหลังปี 2500 ที่จอมพลสฤษดิ์ได้เปลี่ยนวันกองทัพดังที่ได้กล่าวไป ซึ่งกองทัพพยายามทำการปรับเปลี่ยนจากระบบโครงสร้างตามอเมริกา ภายใต้การต่อสู้กับกองกำลังคอมมิวนิสต์ สมัยรัฐบาลทหารในช่วงปี2514-19 จนกระทั่งช่วงที่มีรัฐบาลพลเรือนขึ้นมา คือ มรว.เสนีย์ ปราโมช เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม (27 สิงหาคม พ.ศ. 2519-23 กันยายน พ.ศ. 2519) โดยพลเรือนคนแรกที่ได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมกองทัพได้

ต่อมา คือยุคสมัย 6 ตุลา ที่มีการสร้างวาทกรรม ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป สร้างอุดมการณ์รัก ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างเข้มข้น มีการปลุกระดมให้เกิดการฆ่า “คนอื่น” (เป็นญวน หรือเวียดนาม) ในเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลา ซึ่งรัฐทหาร ฆ่าคนไม่ใช่ประชาชนไทย จนกระทั่ง การเปลี่ยนผ่านมาสู่ช่วงสมัย หลังพลเอก เปรม เป็นนายก ก็มาถึงยุคของชาติชาย ซึ่งแสดงความสามารถผ่านแบรนด์ที่ว่าสามารถควบคุมกองทัพได้ หลังจากผ่านช่วงประชาธิปไตยครึ่งใบ และเราได้นายกฯ จากการเลือกตั้ง ซึ่งสมัยนั้น พล.อ.ชวลิต เป็น ผบ.ทบ. ก็ไม่มีการปฏิวัติ หรือ รัฐประหารขึ้นมา และชวลิต ก็แสดงออกถึงความเป็นทหารอาชีพ และลดบทบาทกองทัพจำกัด ภายใต้กรอบประชาธิปไตย

ข้อเสนอการปรับโครงสร้างกองทัพก่อนและหลังพฤษภา 2535

ภายใต้การนำของนายกชาติชาย ที่ชูนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ที่สอดคล้องกับการพยายามดึงทหารกลับกรมกอง เพื่อให้ทหารเป็นทหารอาชีพไม่ยุ่งกับการปฏิวัติและรัฐประหาร ซึ่งนโยบายดังกล่าว เกี่ยวโยงกองทัพ และการปรับตัวภายใต้เศรษฐกิจโลกและไทย ความพยายามจะเป็นนิกส์ เป็นเสือตัวที่ 5 ภายใต้โมเดลนิกส์ เป็นประเทศอุตสาหกรรมตามเกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน ซึ่งประเทศเหล่านี้ เป็นโมเดลหรือตัวแบบของการพัฒนา เศรษฐกิจ ในช่วงเวลานั้น กลุ่มเศรษฐศาสตร์การเมืองก็เคยเชิญพวกพันศักดิ์ และไกรศักดิ์ มาวิเคราะห์เศรษฐกิจในช่วงนั้น ก็มีประเด็นถกเถียงเรื่องโมเดลดังกล่าว ซึ่งน่าสังเกตว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมนั้น จะต้องไม่มีทหารมายุ่งเกี่ยวทางการเมืองอีกแล้ว แต่ก็ไม่เป็นดังที่วาดฝันไว้เมื่อเกิดการรัฐประหาร รสช. ในกาลต่อมา

จากช่วงเหตุการณ์ก่อนพฤษภา 2535 ที่พรรคพลังธรรม พรรคความหวังใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกร้องประชาธิปไตยและหาเสียงลดอำนาจทหาร เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งที่มีความชอบธรรม และให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น

ต่อมาไทยก็ได้รับบทเรียนจากวิกฤติการณ์ทางการเมืองในช่วงพฤษภาปี 2535 ซึ่งในตอนนั้นไม่อาจสามารถอ้างว่าฆ่าคนญวนได้อีกต่อไป เพราะเราก็รู้ว่าในโลกหลังสงครามเย็นทางการเมืองระหว่างประเทศอินโดจีน ซึ่งเราได้เคยเรียนรู้มาจากประวัติศาสตร์เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ทำให้เรารู้ว่า ชนชั้นกลาง และแรงงาน ต่างๆนานา รับไม่ได้กับการย้อนกลับสู่ระบบอำนาจนิยมโดยทหาร ทำให้เผด็จการครองประเทศอีกต่อไป

จากนั้นเริ่มมีไอเดียนำเสนอปฏิรูปกองทัพ เช่น แนวคิดนโยบายจิ๋วแต่แจ๋ว [2] โดยชวลิต สมัยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ผู้มีความซับซ้อนทางการเมืองจากฝ่ายกองทัพเกี่ยวพันพลเอกเปรม มาเป็นฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยในช่วงเหตุการณ์พฤษภา ทั้งนี้ไอเดียของชวลิตบางด้านก็น่าสนใจ โดยเฉพาะแนวคิดการลดขนาดกองทัพ ลดงบประมาณ และงดซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์ ซึ่งได้รับอิทธิพลของชูมากเกอร์ และความน่าสนใจของเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธด้วย ในลักษณะของเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ คือไม่ได้เน้นความรุนแรง ซึ่งตรรกะไม่เน้นความรุนแรง ก็ย่อมไม่สนับสนุนการซื้ออาวุธ สำหรับประหารคน และเรือรบ ก็ทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาตินั่นเอง

แม้ว่าการปรับโครงสร้างของกองทัพจะยังไม่ประสบความสำเร็จ โดยเราอาจจะเห็นในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลชวลิต ซึ่งเกิดการเติบโตทางพัฒนาเศรษฐกิจเรื่อยมาจากยุคชาติชาย ที่ไทยไม่น่าจะย้อนกลับไปสู่ระบบเผด็จการ จากเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่มีทหารแทรกแซง จนกระทั่งวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2539 และการร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2540 รวมทั้งแนวคิดกระจายอำนาจ อบต.ต่างๆ ซึ่งรอยต่อ ทางการเปลี่ยนแปลงการเมืองของยุคโลกาภิวัตน์ กำลังเข้ามา ในการแก้ไขเรื่องที่ดิน ความยากจน และประชาธิปไตย โดยวิกฤติเศรษฐกิจดังกล่าว ทำให้กองทัพต้องปรับลดงบประมาณของกองทัพ ตามวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง และกองทัพ ก็เป็นปัญหาของการจัดการงบประมาณของประเทศ ทั้งกรณีทหารกับหุ้นของทีวี ททบ.5 ที่ดิน ทำสนามกอลฟ์ และธนาคาร ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้ทหารมากกว่าประชาชนทั่วไป

ผู้เขียนใช้ข้อมูลยกตัวอย่างง่ายๆ ในโครงการเออร์ลี่รีไทร์ จากนายพลจำนวนนับพันคน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมเข้าโครงการ เมื่อนโยบาย เพื่อรีดไขมันล้มเหลวต่อเนื่องเรื่อยมา กองทัพต่างๆ ก็ไม่สามารถนำส่วนที่ปรับลดได้จากงบฯบุคลากรไปโปะในงบฯเสริมสร้างกำลังกองทัพ โดยปีไหนภาวะเศรษฐกิจดี หรือปีไหนกองทัพมีอำนาจเหนือฝ่ายการเมือง งบฯเสริมสร้างกำลังกองทัพจึงอู้ฟู่ตามปกติ อยากจัดซื้อจัดหาอย่างไรก็ง่ายดาย แต่เมื่อปีไหนเศรษฐกิจฝืดเคือง ไปจนถึงขั้นวิกฤต ถึงกองทัพจะมีอำนาจเหนือฝ่ายการเมืองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้งบฯเสริมสร้างกำลังกองทัพอู้ฟู่เหมือนเดิม [3]

รัฐประหารโดยกองทัพ นำมาสู่อิทธิพลของทหาร และความเชื่อต่ออนาคต

การเมืองไทยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในสมัยรัฐบาลทักษิณ มีความพยายามการปรับโครงสร้างกองทัพ ซึ่งทหาร เป็นเครือญาติของทักษิณ คือ ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ก็ได้ดำรงตำแหน่งทั้ง ผบ.ทบ. และ ผบ.สูงสุด รวมทั้งไอเดียการพยายามเปลี่ยนโครงสร้างกองทัพเพื่อทันสมัย และดับไฟใต้ กรณีการตั้งสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นผบ.ทบ.เพื่อแก้ไขปัญหาภาคใต้ต่อจากประวิตร (ปัจจุบันเป็น รมต.กลาโหม) แล้วเหตุการณ์ก็พลิกกลับ เมื่อเกิดการรัฐประหาร 19 ก.ย. ที่เกิดขึ้นหลังการปั่นกระแสของสนธิ ลิ้มทองกุล มวลชนประชาชนของพันธมิตร ทำให้รัฐบาลของทักษิณล้มลง

มาถึงในสมัยของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่มีการลุกฮือขึ้นของมวลชนเสื้อแดง เริ่มมีการตรวจสอบกองทัพอีกครั้งทั้งจากฝ่ายคนเสื้อแดงในกรณีต่างๆ เช่น การอนุมัติงบประมาณทหารจำนวนมาก และกรณีที่มีประเด็นคอรัปชั่นเชิงนโยบาย หรือข้อโต้แย้งเรื่อง ซื้ออุปกรณ์ไม่มีคุณภาพ (จีที 200) เป็นต้น

รวมถึงการต่อสู้ทางสภา ของนักการเมืองฝั่งพรรคเพื่อไทย เช่น มีการเรียกร้องปรับลดงบประมาณในกระทรวงกลาโหมจำนวน 170,285,022,900 ล้านบาท โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย อภิปรายขอปรับลดร้อยละ 10 จากงบทั้งหมด 1.7 แสนล้านบาท เนื่องจากเห็นว่าเป็นงบประมาณที่มากเกินไปทั้งที่สังคมยุคโลกาภิวัตน์ที่เน้นเรื่องการทำสงครามการค้า นี่เป็นประเด็นหนึ่งซึ่งมีหลายประเด็นซับซ้อนในยุคสมัย ที่กองทัพ กลับมามีอำนาจจัดซื้ออาวุธ เกี่ยวพันข่าวทั้งพลเอกเปรม และกองทัพต่างๆ อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเราอยู่ในโลก ยุคโลกาภิวัตน์ โดยน่าจะปรับโครงสร้าง แต่ผบ.ทบ.คนล่าสุด กับข้อเสนอโครงสร้างกองทัพ รับมือสู้ภัยพิบัติโลก เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.มีแนวคิดที่จะปรับโครงสร้างกองทัพใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจเฉพาะหน้า อย่างเช่น ภัยพิบัติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งใกล้ปี 2012 ที่ภัยพิบัติทวีความรุนแรงมากขึ้น และเป็นไปตามคำทำนายของโหราศาสตร์ที่ทำนายไว้ว่าจะเกิดน้ำท่วมหนักในช่วงเดือน ต.ค.และจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น [4]

อย่างไรก็ตามการปรับโครงสร้างของกองทัพเคยมีการปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยเฉพาะในยุคใหม่ที่เรียกว่า “ยุคโลกาภิวัตน์” ที่ทุกอย่างจะต้องปรับให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการปฏิบัติภารกิจอย่างมีประสิทธิภาพของกองทัพ ทำให้กองทัพจำเป็นต้องทบทวนและปรับตัวเองพร้อมทั้งเหตุและผลเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่าประเด็นใหญ่ ในความซับซ้อนของกองทัพและทหาร ที่มีตั้งแต่เรื่องรัฐธรรมนูญและทหาร ภายใต้โครงสร้างซึ่งปรับตามอเมริกา โดยรูปแบบการบังคับบัญชาแบบเสนาธิการเหล่าทัพ ลดอำนาจกองทัพ ในเรื่องงบลับ และสร้างปฏิทินแห่งความหวังจากรัฐสวัสดิการ โดยลดงบประมาณของกองทัพ มาเพิ่มงบจัดทำรัฐสวัสดิการให้ประชาชน เพราะยุคสมัยของการไม่มีสงครามภายนอก และบทบาทของการควบคุมทหารโดยพลเรือน จึงมีความหมายโดยตรงในงานด้านนโยบายในระดับทางยุทธศาสตร์ (Strategy) และในระดับยุทธ์ศิลป์ (Operational art) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการจัดทำนโยบายและกระบวนการทางด้านงบประมาณ ซึ่งพลเรือนได้เข้ามามีส่วนร่วมนั่นเอง

ดังนั้นยุคโลกาภิวัตน์ของข้อมูลข่าวสารนั้น ประชาชนจะต้องรู้เรื่องทหาร และต้องร่วมกันกำกับและสร้างกลไกผ่านระบบประชาธิปไตย ให้ทหารปรับตัวเป็นมิตรต่อประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อให้วลีที่ว่า “ทหารไทยนี้รักสงบ” เป็นจริง ไม่มีการเข่นฆ่าประชาชนโดยทหารในอนาคตอีกต่อไป



………………

*หมายเหตุ

ผู้เขียนเลือกเขียนเรื่องวันกองทัพไทย โดยปรับปรุงแนวคิด และข้อมูล ที่นำเสนอ ที่สถาบันศาสนา วัฒนธรรมและสันติภาพ มหาวิทยาลัยพายัพ ในการสนทนาชุด "เราจะก้าวต่อไปอย่างไรกัน" ครั้งที่ ๕ เรื่อง "สภาวะแวดล้อมสำหรับปรับโครงสร้างกองทัพไทย"สรุปความจากหนังสือ "ยกเครื่องเรื่องทหาร: ข้อคิดสำหรับกองทัพไทย ในศตวรรษที่ 21" เขียนโดย สุรชาติ บำรุงสุข เมื่อวันพุธที่ 15 ธันวาคม 2553 เวลา 13.30 น. โดยก่อนผ่านพ้นปี2010อย่างที่หนังสืออ้างไว้ในปี 2540 สู่ 2011 แล้ว

ดังนั้นผู้เขียน จึงเรียบเรียงเขียนบทความ ที่ได้อ่านหนังสือของสุรชาติ บำรุงสุข เพิ่มเติม คือ สังคมต้องรู้เรื่องทหาร : ทำไม - อย่างไร และ รัฐและกองทัพในประเทศโลกที่สาม : ข้อพิจารณาทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง ส่วนประกอบเพิ่มเติมของแนวคิด คือ หนังสือของ Roger Kershaw “Monarchy in South East Asia: The Faces of Tradition in Transition”และสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล รำลึก "วันปฏิวัติ 24 มิถุนา" : ความเป็นมาของเพลงชาติไทยปัจจุบัน http://www.prachatai.com/journal/2008/06/17161 และผู้เขียนยังทบทวนดูนิตยสารสารคดีฉบับพิเศษรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยข้อมูลช่วงพฤษภา 35 (ดูเพิ่มเติมวิกีพีเดียและหนังสือฯลฯ) และ พล.อ.ชวลิต หรือบิ๊กจิ๋วถูกวิจารณ์ถึงบทบาทความซับซ้อนทางการเมือง และบทบาทไม่ประสบความสำเร็จด้านลดบทบาทกองทัพ ซึ่งบริบทและรายละเอียดต้องขยายความมากกว่าจะอธิบายเป็นบทความสั้นๆ

อ้างอิง

[1] ๒๕ มกราคม วันกองทัพบก http://www.rta.mi.th/history/jan_25.htm และวันกองทัพไทย
http://www.rta.mi.th/21100u/collum/kongtap/kongtap.htm และอรรคพล สาตุ้ม"24มิถุนา,28กรกฏา,4ธันวา,10ธันวา"และYoungPADผ่านประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมไทย
http://www.prachatai.com/journal/2008/12/19265

[2] แนวคิดนโยบายจิ๋วแต่แจ๋ว มาจากหนังสือ Small Is Beautiful: Economics As If People Mattered ที่มีแปลภาษาไทยว่า"จิ๋วแต่แจ๋ว : เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ"หรือ"เล็กนั้นงาม : การศึกษาเศรษฐศาสตร์โดยให้ความสำคัญกับผู้คน"

[3] เผยงบกองทัพปี53 ติดลบสูงสุดรอบ 10 ปีกว่าหมื่นล้าน ชี้จะรักษาสถานะต้องรีดไขมัน-หนุนรบ.อยู่ครบวาระ มติชน 13 มิ.ย. 52 22.45 น.

[4] ปรับโครงสร้างกองทัพ รับมือสู้ภัยพิบัติโลก เดลินิวส์ วันอังคาร ที่ 26 ตุลาคม 2553 เวลา 19:46 น

--หมายเหตุเพิ่มเติม; ที่มาจากประชาไท และดูอีกเวอร์ชั่น ที่Thai E-News: วันกองทัพไทยถึงอนาคตทหารไทยนี้รักสงบ

คำขวัญวันเด็กกับประเด็นคุณธรรม และจิตสาธารณะแบบ “จิ๋วเรนเจอร์”

คำขวัญวันเด็กกับประเด็นคุณธรรม และจิตสาธารณะแบบ “จิ๋วเรนเจอร์”
Thu, 2011-01-06 00:03

อรรคพล สาตุ้ม

วันเด็กปีนี้มาพร้อมกับประเด็นย้อนแย้งที่น่าสนใจหลายอย่าง อาทิเช่น กรณีพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา ที่มีต้นตอมาจากขบวนการปลุกชาตินิยมของเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเฟสใหม่? ) ซึ่งเมื่อหันมามองบ้านเราพบว่ายังมีเด็กข้ามพรมแดนมาจากปะเทศกัมพูชา ไม่ว่าจะมากับครอบครัวแรงงานข้ามชาติหรือมาทำอาชีพขอทาน ที่พวกเขายังไม่รู้ชะตากรรมว่าจะตกเป็น “เหยื่อ” ของสถานการณ์การเมืองที่ “ผู้ใหญ่ไทยหัวใจรักชาติ” จุดชนวนไว้เมื่อไร

รวมถึงประเด็นความพยายามฝึกเด็กอายุไม่กี่ขวบให้เป็นบอดี้การ์ดนายกในนามหน่วย “จิ๋วเรนเจอร์” ที่มีการฝึกระเบียบวินัยแบบทหาร-ตำรวจ เพื่อภารกิจรักษาความมั่นคงฉบับจิ๋ว รอกระชับพื้นที่ความปลอดภัยให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปฏิบัติหน้าที่ผู้นำประเทศในวันเด็กที่จะถึง -- แต่เหรียญอีกด้านคือลูกหลาน “คนเสื้อแดง” ที่พ่อแม่ลุงป้าน้าอาของพวกเขาพึ่งเสียเลือดเสียเนื้อปะทะกับทหารเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

ผู้เขียนเห็นว่าเด็กไทยต้องข้ามพ้นขอบเขตจำกัดของพรมแดนกรอบคิดเรื่องรัฐชาติ และเด็กก็ไม่สมควรถูกปลูกฝังให้ยอมรับความรุนแรงและอำนาจนิยม เช่นการนำเด็กเข้าไปเล่นอาวุธสงครามในค่ายทหาร หรือการนำเด็กมาเป็นเครื่องมือโฆษณาประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ให้กับนายก แบบหน่วยรบพิเศษจิ๋วเรนเจอร์นี้

ประวัติวันเด็กแห่งชาติ

งานวันเด็กแห่งชาติจัดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม พ.ศ. 2498 ตามคำเชิญชวนของ นายวี.เอ็ม. กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญและความต้องการของเด็ก และเพื่อกระตุ้นให้เด็กตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญของตนในประเทศ โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม เตรียมพร้อมให้ตนเองเป็นกำลังของชาติ และรัฐบาลได้จัดให้มีคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้นมาคณะหนึ่ง ทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และเอกชน โดยกำหนดให้มีการฉลองวันเด็กแห่งชาติทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จุดประสงค์เพื่อให้เด็กทั่วประเทศทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน ได้รู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม มีความยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข


กำเนิดคำขวัญวันเด็กแบบจอมพล ป.พิบูลสงคราม-จอมพลสฤษดิ์ สิ้นชีวิต

คำขวัญวันเด็ก เป็นคำขวัญที่นายกรัฐมนตรีมอบให้เด็กไทย เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติของทุกปี โดยคำขวัญวันเด็กมีขึ้นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2499 ในสมัยที่จอมพล ป. พิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยจอมพล ป. ได้ให้คำขวัญวันเด็กปีนั้นว่า “จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม” และต่อมาได้กำเนิดเพลงหน้าที่ของเด็ก (เด็กเอ๋ยเด็กดี)

จนกระทั่งวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้นำกำลังทหารเข้ายึดอำนาจโค่นล้มจอมพล ป. พิบูลสงครามออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตั้งแต่ พ.ศ. 2502 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ให้คุณค่าความสำคัญของเด็ก จึงมอบคำขวัญให้เป็นข้อคติเตือนใจสำหรับเด็กปีละ 1 คำขวัญ (ก่อนถึงวันเด็กแห่งชาติ) นายกรัฐมนตรีสมัยต่อมา จึงได้ถือเป็นธรรมเนียมสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ช่วงเวลาของยุคการพัฒนาตามอเมริกา ในพ.ศ. 2502-2506 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งคำขวัญวันเด็ก คือ “ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า” และปีต่อๆมา ก็จะเพิ่มเติมต่อท้ายคำขวัญเปลี่ยนจากรักความก้าวหน้า เป็นจงเป็นเด็กที่รักความสะอาด และต่อมาจงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย จนถึงจงเป็นเด็กที่ประหยัด ในท้ายที่สุดของปี 2506 คือ จงเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรมากที่สุด แล้วต่อมาวาระสุดท้ายของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าด้วยโรคไตพิการเรื้อรัง รวมอายุได้ 55 ปี และจอมพลสฤษดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่เสียชีวิตลงในขณะที่ดำรงตำแหน่ง

หลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อสัญกรรมแล้วทายาท ทั้งหลายต่างก็เริ่มวิวาทแก่งแย่งทรัพย์มรดกมหาศาลของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2507 บุตรทั้ง 7 คนของจอมพลสฤษดิ์ได้ฟ้องท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์ ที่พยายามจะตัดสิทธิในส่วนแบ่งอันถูกต้องของทายาท เนื่องจากเป็นเรื่องอื้อฉาวมาก ประชาชนจึงต่างให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งในคดีนี้และสื่อมวลชนก็ยกให้เป็นคดีที่อื้อฉาวที่สุดในเมืองไทย โดยการที่ประชาชนให้ความสนใจในการพิจารณาคดีนี้ จึงเป็นการบังคับให้รัฐบาลจอมพลถนอมต้องเข้าแทรกแซงและสอบสวนเบื้องหลังความมั่งคั่งของจอมพลสฤษดิ์ นั่นเป็นสิ่งที่แสดงถึงความขัดแย้งอย่างชัดเจน ที่เราไม่อาจเอาตัวแบบอย่างเรื่องประหยัด จากยุคสมัยของพ่อขุนอุปถัมภ์เผด็จการได้ สำหรับเด็กๆ คำขวัญเป็นโวหารจอมปลอมจากนายกฯ เมื่อความจริงปรากฏขึ้นมาว่า บทเรียนของการคอรัปชั่นโดยทหาร เป็นส่วนหนึ่งระบบราชการ และส่วนหนึ่งของการนำเสนอคำขวัญให้เด็ก คือ จงเป็นเด็กที่ประหยัด และจงเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรมากที่สุด ทำให้เราเห็นว่า ขยันคอรัปชั่นรวยเร็วกว่าประหยัด โดยบทเรียนทางประวัติศาสตร์

อย่างไรก็ตาม บทเรียนดังกล่าว ทำให้เราเข้าใจไม่มีคำขวัญ ที่เป็น “คุณธรรม” หรือ “ชาติ” ในคำขวัญ แต่ว่ายุคสมัยลัทธิทหารชาตินิยม ก็เป็นแบบของจอมพลสฤษดิ์ โดยดูได้จากการเปลี่ยนวันสำคัญของชาติไทยจาก 24 มิถุนานั่นเอง และมิติมุมมองหนึ่งของยุคที่ไทยเราแพ้คดีเขาพระวิหารแล้วยังมารับรู้ เห็นความจริงในทีหลังเรื่องคอรัปชั่น เพราะเราอยู่ในยุคที่ถูกปิดหูปิดตามาก่อนหน้าที่จอมพลสฤษดิ์จะตาย จึงได้ถูกเปิดเผยความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงได้ชัดเจน

งดจัดงานวันเด็ก ในสมัยจอมพลถนอม และการกลับมากำเนิดคำขวัญวันเด็กกับชาติไทยโดยรัฐบาลทหาร

พ.ศ. 2507 จอมพล ถนอม กิตติขจร ไม่มีคำขวัญ เนื่องจากงดการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ
พ.ศ. 2508 จอมพล ถนอม กิตติขจร เด็กจะเจริญต้องรักเรียนเพียรทำดี
พ.ศ. 2509 จอมพล ถนอม กิตติขจร เด็กที่ดีต้องมีสัมมาคารวะ มานะ บากบั่น และสมานสามัคคี
พ.ศ. 2510 จอมพล ถนอม กิตติขจร อนาคตของชาติจะสุกใส หากเด็กไทยแข็งแรงดีมีความประพฤติเรียบร้อย
พ.ศ. 2511 จอมพล ถนอม กิตติขจร ความเจริญและความมั่นคงของชาติไทยในอนาคต ขึ้นอยู่กับเด็กที่มีวินัย เฉลียวฉลาดและรักชาติยิ่ง
พ.ศ. 2512 จอมพล ถนอม กิตติขจร รู้เรียน รู้เล่น รู้สามัคคี เป็นความดีที่เด็กพึงจำ
พ.ศ. 2513 จอมพล ถนอม กิตติขจร เด็กประพฤติดีและศึกษาดี ทำให้มีอนาคตแจ่มใส
พ.ศ. 2514 จอมพล ถนอม กิตติขจร ยามเด็กจงหมั่นเรียน เพียรกระทำดี เติบใหญ่จะได้มีความสุขความเจริญ
พ.ศ. 2515 จอมพล ถนอม กิตติขจร เยาวชนฝึกตนดี มีความสามารถ
พ.ศ. 2516 จอมพล ถนอม กิตติขจร เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ

ทั้งนี้ กรณีคำขวัญเป็นตัวอย่างของการเปรียบเทียบให้เข้าใจการกำเนิดของเด็กกับชาตินิยมโดยทหาร ในพ.ศ. 2510 จอมพล ถนอม กิตติขจร อนาคตของชาติจะสุกใส หากเด็กไทยแข็งแรงดีมีความประพฤติเรียบร้อย เป็นต้นมา ก็มีความสำคัญเด็กกับชาติไทย ที่มีต่อมา คือ คำขวัญที่คล้องจองจำง่าย ถึง“เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ” นี่เป็นบทสะท้อนของการสร้างพรมแดนของเด็ก ให้อยู่ในความทรงจำของเด็กไทย ที่เห็นได้อย่างชัดเจน

หลัง 14 ตุลา 2516 กับกำเนิดคำขวัญวันเด็กว่า “คุณธรรม”ในยุคสมัยรัฐบาลพลเอกเปรม และหลังรัฐประหาร 2534

พ.ศ. 2517 นายสัญญา ธรรมศักดิ์ สามัคคีคือพลัง
พ.ศ. 2518 นายสัญญา ธรรมศักดิ์ เด็กดีคือทายาทของชาติไทย ต้องร่วมใจร่วมพลังสร้างความสามัคคี
พ.ศ. 2519 หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช เด็กที่ต้องการเห็นอนาคตของชาติรุ่งเรือง จะต้องทำตัวให้ดี มีวินัย เสียแต่บัดนี้
พ.ศ. 2520 นายธานินทร์ กรัยวิเชียร รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเยาวชนไทย
พ.ศ. 2521 พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติมั่นคง
พ.ศ. 2522 พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เด็กไทยคือหัวใจของชาติ
พ.ศ. 2523 พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อดทน ขยัน ประหยัด เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
พ.ศ. 2524 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เด็กไทยมีวินัย ใจสัตย์ซื่อ รู้ประหยัด เคร่งครัดคุณธรรม
พ.ศ. 2525 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ขยันศึกษา ใฝ่หาความรู้ เชิดชูชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย
พ.ศ. 2526 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ รู้หน้าที่ ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด มีวินัยและคุณธรรม
พ.ศ. 2527 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ รักวัฒนธรรมไทย ใฝ่ดีมีความคิด สุจริตใจมั่น หมั่นศึกษา
พ.ศ. 2528 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ สามัคคี นิยมไทย มีวินัย ใฝ่คุณธรรม
พ.ศ. 2529 (-2531) พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม

จากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หลัง 14 ตุลา 2516 เป็นต้นมา ซึ่งเราสามารถพิจารณาคำขวัญจากการลำดับของยุคสมัยของรัฐบาลต่างๆ จนเห็นได้ว่า รัฐบาลพลเอกเปรม ในช่วงประชาธิปไตยครึ่งใบนั้น มีคำว่า “คุณธรรม” เกิดขึ้นมาเป็นองค์ประกอบของการสร้างเด็กไทยในชาติ จนกระทั่งต่อมา รัฐบาลชาติชาย จากมีคำว่า “คุณธรรม” กลายเป็นไม่มีคำว่าคุณธรรมในยุคหลังรัฐประหาร แล้วเกิดเหตุพฤษภาทมิฬ เป็นต้น แล้วการกลับมาของคำว่า “คุณธรรม” และไม่มีคำว่าคุณธรรมในยุคประชาธิปไตยในสมัยรัฐบาลชวน คือ ช่วงปี 2543-44 จนกระทั่ง รัฐบาลทักษิณก็ไม่มีคำว่า “คุณธรรม” ปรากฏให้เห็นอีกต่อไป

พ.ศ. 2532 พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2533 พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม
พ.ศ. 2534 พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่คุณธรรม นำชาติพัฒนา
พ.ศ. 2535 นายอานันท์ ปันยารชุน สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา จรรยางาม
พ.ศ. 2536 นายชวน หลีกภัย ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2537 นายชวน หลีกภัย ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2538 นายชวน หลีกภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. 2539 นายบรรหาร ศิลปอาชา มุ่งหาความรู้ เชิดชูความเป็นไทย หลีกไกลยาเสพติด
พ.ศ. 2540 พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ รู้คุณค่าวัฒนธรรมไทย ตั้งใจใฝ่ศึกษา ไม่พึ่งพายาเสพติด
พ.ศ. 2541 นายชวน หลีกภัย ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
พ.ศ. 2542 นายชวน หลีกภัย ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย
พ.ศ. 2543 นายชวน หลีกภัย มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
พ.ศ. 2544 นายชวน หลีกภัย มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย
พ.ศ. 2545 พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ สู่อนาคตที่สดใส
พ.ศ. 2546 พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี
พ.ศ. 2547 พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียน รักสิ่งดีๆ อนาคตดีแน่นอน
พ.ศ. 2548 พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร เด็กรุ่นใหม่ ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด
พ.ศ. 2549 พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด

วิเคราะห์ความสัมพันธ์การเมืองหลังรัฐประหาร 2549 กับคำขวัญเชิดชูคุณธรรมจากวันเด็ก-ทักษิณ และจิ๋วเรนเจอร์

เมื่อเกิดเหตุการณ์รัฐประหารโดยทหาร จึงน่าสนใจต่อการวิเคราะห์คำขวัญ หมายถึง ถ้อยคำ ข้อความ คำคล้องจอง หรือบทกลอนสั้นๆ เพื่อให้จำได้ง่าย ถ้อยคำหรือข้อความ ที่แต่งขึ้นเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ แสดงอุดมคติ หรือเป้าหมายของกิจกรรมวันเด็ก และการวิเคราะห์คำว่า คุณธรรม ที่มีความหมายตามพจนานุกรม “คุณธรรม [คุนนะ-] น. สภาพคุณงามความดี.” และสื่อสัญลักษณ์ถึงความดี ทั้งด้านศาสนา และมุมมอง โดยพื้นฐานของมนุษย์เชื่อมโยงกับคุณธรรม เป็นสิ่งสำคัญ แต่ว่ามาตรฐานของคุณธรรม ในสังคมไทย จะต้องตรวจสอบ ไม่ให้คุณธรรมตก อยู่ภายใต้ความเชื่อโดยไม่สามารถพิสูจน์ความจริงได้ ซึ่งสะท้อนภาพความเป็นไปในสังคมแต่ละยุคสมัยไม่น้อย [1] ดังคำขวัญต่อไปนี้

พ.ศ. 2550 พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข
พ.ศ. 2551 พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ สามัคคี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม
พ.ศ. 2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฉลาดคิด จิตบริสุทธิ์ จุดประกายฝัน ผูกพันรักสามัคคี
พ.ศ. 2553 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม

ฉะนั้นจากตัวอย่างของการเปรียบเทียบของคำขวัญในยุคจอมพลป.จอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม และพลเอกเปรม ถึงรัฐประหาร 2549 จึงมีความน่าสนใจ โดยผู้เขียนขอนำเสนอมุมมองลำดับเวลากล่าวอย่างย่อๆ ว่า เกิดรัฐประหารโดยทหาร ซึ่งมาจากพลเอก สนธิ บุญยรัตนกลิน เป็นคนที่ทักษิณ คิดว่าจะช่วยปรับโครงสร้างทางทหาร และสนธิ ช่วยแก้ปัญหาภาคใต้ กลับกลายเป็นโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ ในวันที่ 19 กันยายน 2549 แล้วรัฐบาลออกแบบทำนิยายรัฐธรรมนูญ 2550 เหมือนนิยาย [2] และคำขวัญยังเหมือนเรื่องหลอกเด็กในเรื่องคุณธรรมก็เป็นการโกหก และถ้าเราสนับสนุนบทบาทการเล่นเป็นบทบาททหารตามงานวันเด็ก อาวุธ และเกมส์ ที่ทำให้เด็กเสพย์ติดเชื่อง่ายๆ ก็จะเป็นเรื่องที่ทำร้ายเด็ก

ทั้งนี้จากปีที่ผ่านมา คือ 2553 ก็นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ได้เชิดชูคำขวัญ คือ เชิดชูคุณธรรม เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันเด็ก เพื่อไม่ให้รับอิทธิพลของเทคโนโลยีเร็วเกินไป ขณะที่ฝ่ายของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งสมัคร และสมชาย ไม่มีโอกาสให้คำขวัญวันเด็ก แต่ในปีที่แล้วนั้น (2553) ทักษิณก็ได้ส่งมอบคำขวัญวันเด็ก คือ “อนาคตจะสดใส ต้องใฝ่เรียนรู้เทคโนโลยี” ซึ่งถือว่าเป็นคำขวัญวันเด็กจากนายกนอกทำเนียบคนแรก

ในปี 2554 ที่จะถึงนี้ผู้เขียนหวังว่าเราจะต้องสร้างอนาคตเด็กไทยให้ข้ามพ้นเรื่องชาตินิยมให้ได้ ในท่ามกลางกระแสเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ กรณีพรมแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงการส่งเสริม “รัฐทหาร” ที่สะท้อนจากการจัดงานกิจกรรมวันเด็ก จับเด็กมาแต่งตัวเป็นทหาร และสวมหมวกให้จิ๋วเรนเจอร์ เป็นตำรวจเด็ก [3] โดยรัฐบาลทหารแบบอภิสิทธิ์ในขณะนี้

ต้องเปลี่ยนทัศนคติของเด็ก ไม่ใช่นำพาเด็กโดยสร้างการครอบงำสวมหมวกให้เด็ก ภายใต้คำขวัญ "รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ" ซึ่งหากจะจับผิดคำขวัญนี้ดีๆ การปลูกฝัง “มีจิตสาธารณะ” ของนายอภิสิทธิ์นั้นคือเพียงการจับเด็กมาใส่ชุดทหารเพื่อนำมาเป็น รปภ. ให้แก่นายกรัฐมนตรีเท่านั้น โดยต้องการให้ทุกคนไม่เว้นว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ (สลิ่มทั้งหลาย) หลงลืมบทพิสูจน์ การหาความจริง หาความเป็นธรรมให้กับผู้ตาย ผู้ติดคุก ที่เขาอาจจะมีลูกหลาน .. แต่กระนั้นวันเด็กในปีนี้พวกเขาก็ไม่มีโอกาสจะพาลูกหลานไปเฉลิมฉลองงานวันเด็กได้เหมือนครอบครัวอื่นๆ

อ้างอิง

[1] บัญญัติ คำนูณวัฒน์ “เล่าสู่กันฟัง-มีอะไรในคำขวัญวันเด็ก” นสพ.คมชัดลึก วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2553
[2] อรรคพล สาตุ้ม ปัญหารัฐธรรมนูญ 2550: นิยายและความจริง ในภาพสะท้อนเราใกล้ชิดเส้นชัย
http://www.prachatai.com/journal/2010/12/32184
[3] เปิดจิ๋วเรนเจอร์ตร.คุ้มกันมาร์ควันเด็ก นสพ.คมชัดลึกวันอังคารที่ 4 มกราคม 2554

หมายเหตุ:ที่มาประชาไท และดูอีกเวอร์ชั่น ในไทยอีนิวส์ ,คำขวัญวันเด็กไม่มีเชิดชูคุณธรรม กับบทพิสูจน์ของรัฐสร้างภูมิคุ้มกันโดยทหาร-ตำรวจ